อย่าเป็นแม่ทัพที่ทำลายนักรบของตนเองเพื่อเอาใจข้าศึก
การเครื่อนไหวต่อสู้ของ นปช. ภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา มีเป้าหมายอยู่ที่รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโดยมีจุดมุ่งหมายให้มีการยุบสภาฯ จนให้มีการเลือกตั้งใหม่และคาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะได้จัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นการจัดประชุมใหญ่ในเดือนเมษายน 2552 ที่มีการล้อมทำเนียบก็เพื่อบรรลุจุดหมายนี้ อันถือได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ของ
พรรคเพื่อไทยและ นปช. ภายใต้การกำกับของ 3 เกลอ.
แต่จบลงด้วยการถูกล้อมปราบ สูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ถูกจับกุมคุมขังก็มากมาย จนบัดนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุดแต่ พรรคเพื่อไทยและนปช. ก็ไม่เปลี่ยนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การต่อสู้
จนถึงปี พ.ศ. 2553 ก็จัดการเคลื่อนไหวใหญ่เรียกยุทธการนี้ว่า “ลาวาแดง” คือระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศเข้า กทม.ในเดือน
มีนาคม เพื่อกดดันให้ นายอภิสิทย์ เวชชาชีวะประกาศยุบสภาฯ
แต่นายอภิสิทย์ เวชชาชีวะเป็นคนประเภท เด็กดื้อ อวดฉลาด รวมทั้ง คนที่เป็นเสนาธิการอยู่เบื้องหลังก็เช่นเดียวกันอ่านเกมส์พลาด จึงแทนที่จะหาทางออกตามวิถีทางการเมือง ที่จะเรียกคะแนนให้กับรัฐบาลตนเองอย่างท่วมท้น เป็นพระเอกในสายตาคนทั้งโลก แต่กลับตัดสินใจใช้แนวทาง 6 ตุลาคม 2519 หวังปราบปรามไล่ล่าเช็คบิลให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและขบวนการนักศึกษา ประชาชน ที่ถูกกระทำในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จึงนับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มอำมาตย์ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะสถานการณ์ของโลกมองสังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนมาก และดูการต่อสู้ของพวกเขาก็มิใช่ฝ่ายซ้ายดังแต่ก่อน
ดังนั้นถึงจะถูกปราบปราม เข่นฆ่า ไล่ฆ่า จับกุมคุมขังจนตกอยู่ในสถานการณ์ชั่วขณะหนึ่ง แต่กลับพื้นตัวอย่างรวดเร็วจนรัฐบาลประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำมาตย์คาดไม่ถึง ดังนั้นการลากยาวไม่ยุบสภา ที่คิดว่าตนเองจะได้เปรียบ กลับกลายเป็นปล่อยให้คู่ต่อสู้พื้นจากอาการมึนงง คนเสื้อแดงกลับมาด้วยคุณภาพมากกว่าเดิม
ถึงวันที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและกลุ่มอำมาตย์ คงนึกออกแล้วว่า ถ้าตัดสินใจยุบสภา และไม่ปราบปรามเข่นฆ่า วันนี้ก็ยังคงได้เป็นรัฐบาลอยู่ ด้วยภาพที่สวยงาม หรือหากแล้ว เหตุการ 19 พฤษภาคม 2553 รีบยุบสภาก็ไม่เกินเดือน สิงหาคม 2553 ที่พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงยังไม่ฟื้นเวลานั้นรัฐบาล ก็น่าเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำ นปช. หลายคนก็ยังคงอยู่ในคุกไม่ได้เป็น สส. ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ก็คงจะไม่ได้เป็น รมช. แต่ยังเป็น นช.อยู่
โอกาศนี้ผ่านไปแล้วเอาคืนไม่ได้แล้วเวลานี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับพรรคเพื่อไทยและ นปช. นับว่าบรรลุจุดมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์ตามที่กำหนดแล้วแต่ถามว่า แล้วมีอำนาจที่แท้จริงหรือไม่ สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างถาวรหรือไม่ เอาแค่คนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกก็ไม่ สามารถช่วยเหลือออกไปได้ เมื่อเทียบกับคนเสื้อเหลือง ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเหลือ จนเวลานี้ยังไม่มีใครถูกขังอยู่ในคุกซักคนเดียว
ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเวลานี้คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคนเสื้อแดงระดับคุณภาพที่ตาสว่างแล้วมีความรู้สึกที่คลอนแคลนต่อ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไปมากจึงควรที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ระดับคุณภาพ ควรจะออกมากู้ ”ศรัทธา” กลับคืน อย่าปล่อยให้คนประเภทฉวยโอกาศเกาะกระแส พรรค เที่ยวสามหาวก้าวร้าวต่อมวลชนที่สนับสนุนพรรคชนิดไม่กลัวติดคุก กลัวความตายไม่ไช่มุดหัวทุกที ที่มีการยึดอำนาจ
ต้องศึกษาบทเรียนในประวัติศาสตร์ถึงความฉลาดของรัฐไทยในการเอาชนะ คอมมิวนิสต์ ขณะที่รอบบ้านเป็นคอมมิวนิสต์หมดแล้ว ประเทศไทยกำลังจะเป็นโดมิโน่ตัวต่อไปแต่ด้วยความชาญฉลาดจึงเดินทางไปเปิด สัมพันธ์ภาพกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้สนับสนุนหลักของพรรคคอมมิวนิสย์แห่งประเทศไทย (พคท) เป็นแผนแยกสลายทำลายทีละส่วน
จนในที่สุด พคท. ที่มีผู้นำเป็นคนแก่บ้องตื้น มองพรรคคอมมิวนิสย์จีน เป็นเทพแล้วยอมตามทุกอย่างกระทั้งเป็นศัตรูกับเวียดนามตามพรรคคอมมิวนิสย์ จีน สุดท้ายถูกทอดทิ้งเพราะจีนเห็นประโยชน์กับรัฐไทยมากกว่าอุดมการณ์ พคท. จึงล่มสลาย เวลานี้ก็ยังไม่หายบ้องตื้น แบ่งเป็นสองฝ่าย นั่งเคียงกันเรื่องวิเคราะห์สังคมไทยคงนั่งเถียงกันจนแก่ตายทั้งสองฝ่ายไม่ ได้ต่อสู้อะไร
แผนนี้กำลังใช้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงปัจจุบันนั่นคือแผนแยก สลายทำลายทีละส่วน โดยแสร้งทำดีปรองดองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดดเดียวทำลายคนเสื้อแดงคุณภาพก่อน ค่อยสลาย “แดงแม่ยก”เปลียนเป็น”แดงจงรักภักดี”แบบขวัญชัยไพรพนา เมื่อหมดฐานมวลชนเสื้อแดงก็ถึงคิวเชือดพรรคเพื่อไทย จึงได้เห็นการอี๋อ๋อระหว่างอำมาตย์ใหญ่กับนายกฯปู ก็เพื่อบรรลุแผนนี้
นายกปูเป็นเหมือนนกกระจิบหัดบินเมื่อเผชิญเหยี่ยวใหญ่ที่ช่ำชอง ย่อมไม่เท่าทันหลอก
หวังว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงฉลาดพอที่จะเท่าทันในแผนนี้
จดบันทึกปากคำจากคุก….. สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
ที่มา thai-ahr
การเครื่อนไหวต่อสู้ของ นปช. ภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา มีเป้าหมายอยู่ที่รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโดยมีจุดมุ่งหมายให้มีการยุบสภาฯ จนให้มีการเลือกตั้งใหม่และคาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะได้จัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นการจัดประชุมใหญ่ในเดือนเมษายน 2552 ที่มีการล้อมทำเนียบก็เพื่อบรรลุจุดหมายนี้ อันถือได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ของ
พรรคเพื่อไทยและ นปช. ภายใต้การกำกับของ 3 เกลอ.
แต่จบลงด้วยการถูกล้อมปราบ สูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ถูกจับกุมคุมขังก็มากมาย จนบัดนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุดแต่ พรรคเพื่อไทยและนปช. ก็ไม่เปลี่ยนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การต่อสู้
จนถึงปี พ.ศ. 2553 ก็จัดการเคลื่อนไหวใหญ่เรียกยุทธการนี้ว่า “ลาวาแดง” คือระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศเข้า กทม.ในเดือน
มีนาคม เพื่อกดดันให้ นายอภิสิทย์ เวชชาชีวะประกาศยุบสภาฯ
แต่นายอภิสิทย์ เวชชาชีวะเป็นคนประเภท เด็กดื้อ อวดฉลาด รวมทั้ง คนที่เป็นเสนาธิการอยู่เบื้องหลังก็เช่นเดียวกันอ่านเกมส์พลาด จึงแทนที่จะหาทางออกตามวิถีทางการเมือง ที่จะเรียกคะแนนให้กับรัฐบาลตนเองอย่างท่วมท้น เป็นพระเอกในสายตาคนทั้งโลก แต่กลับตัดสินใจใช้แนวทาง 6 ตุลาคม 2519 หวังปราบปรามไล่ล่าเช็คบิลให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและขบวนการนักศึกษา ประชาชน ที่ถูกกระทำในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จึงนับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มอำมาตย์ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะสถานการณ์ของโลกมองสังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนมาก และดูการต่อสู้ของพวกเขาก็มิใช่ฝ่ายซ้ายดังแต่ก่อน
ดังนั้นถึงจะถูกปราบปราม เข่นฆ่า ไล่ฆ่า จับกุมคุมขังจนตกอยู่ในสถานการณ์ชั่วขณะหนึ่ง แต่กลับพื้นตัวอย่างรวดเร็วจนรัฐบาลประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำมาตย์คาดไม่ถึง ดังนั้นการลากยาวไม่ยุบสภา ที่คิดว่าตนเองจะได้เปรียบ กลับกลายเป็นปล่อยให้คู่ต่อสู้พื้นจากอาการมึนงง คนเสื้อแดงกลับมาด้วยคุณภาพมากกว่าเดิม
ถึงวันที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและกลุ่มอำมาตย์ คงนึกออกแล้วว่า ถ้าตัดสินใจยุบสภา และไม่ปราบปรามเข่นฆ่า วันนี้ก็ยังคงได้เป็นรัฐบาลอยู่ ด้วยภาพที่สวยงาม หรือหากแล้ว เหตุการ 19 พฤษภาคม 2553 รีบยุบสภาก็ไม่เกินเดือน สิงหาคม 2553 ที่พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงยังไม่ฟื้นเวลานั้นรัฐบาล ก็น่าเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำ นปช. หลายคนก็ยังคงอยู่ในคุกไม่ได้เป็น สส. ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ก็คงจะไม่ได้เป็น รมช. แต่ยังเป็น นช.อยู่
โอกาศนี้ผ่านไปแล้วเอาคืนไม่ได้แล้วเวลานี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับพรรคเพื่อไทยและ นปช. นับว่าบรรลุจุดมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์ตามที่กำหนดแล้วแต่ถามว่า แล้วมีอำนาจที่แท้จริงหรือไม่ สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างถาวรหรือไม่ เอาแค่คนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกก็ไม่ สามารถช่วยเหลือออกไปได้ เมื่อเทียบกับคนเสื้อเหลือง ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเหลือ จนเวลานี้ยังไม่มีใครถูกขังอยู่ในคุกซักคนเดียว
แล้ว เวลานี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกมาข่มขู่คน เสื้อแดงที่เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะให้มองว่าอย่างไร “ฉลาดหรือโง่กันแน่” หรือเข้าใจว่าการได้เป็นรัฐบาลเที่ยวนี้เป็นที่สุดแล้ว เป็นชัยชนะตลอดกาลแล้วสามารถตกลงปลงใจร่วมผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีมวลชนสนับสนุนอีกแล้ว หรือจะอธิบายว่านี่เป็นเพียงแผนลับลวงพรางให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจเท่านั้น
ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเวลานี้คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคนเสื้อแดงระดับคุณภาพที่ตาสว่างแล้วมีความรู้สึกที่คลอนแคลนต่อ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไปมากจึงควรที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ระดับคุณภาพ ควรจะออกมากู้ ”ศรัทธา” กลับคืน อย่าปล่อยให้คนประเภทฉวยโอกาศเกาะกระแส พรรค เที่ยวสามหาวก้าวร้าวต่อมวลชนที่สนับสนุนพรรคชนิดไม่กลัวติดคุก กลัวความตายไม่ไช่มุดหัวทุกที ที่มีการยึดอำนาจ
ต้องศึกษาบทเรียนในประวัติศาสตร์ถึงความฉลาดของรัฐไทยในการเอาชนะ คอมมิวนิสต์ ขณะที่รอบบ้านเป็นคอมมิวนิสต์หมดแล้ว ประเทศไทยกำลังจะเป็นโดมิโน่ตัวต่อไปแต่ด้วยความชาญฉลาดจึงเดินทางไปเปิด สัมพันธ์ภาพกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้สนับสนุนหลักของพรรคคอมมิวนิสย์แห่งประเทศไทย (พคท) เป็นแผนแยกสลายทำลายทีละส่วน
จนในที่สุด พคท. ที่มีผู้นำเป็นคนแก่บ้องตื้น มองพรรคคอมมิวนิสย์จีน เป็นเทพแล้วยอมตามทุกอย่างกระทั้งเป็นศัตรูกับเวียดนามตามพรรคคอมมิวนิสย์ จีน สุดท้ายถูกทอดทิ้งเพราะจีนเห็นประโยชน์กับรัฐไทยมากกว่าอุดมการณ์ พคท. จึงล่มสลาย เวลานี้ก็ยังไม่หายบ้องตื้น แบ่งเป็นสองฝ่าย นั่งเคียงกันเรื่องวิเคราะห์สังคมไทยคงนั่งเถียงกันจนแก่ตายทั้งสองฝ่ายไม่ ได้ต่อสู้อะไร
แผนนี้กำลังใช้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงปัจจุบันนั่นคือแผนแยก สลายทำลายทีละส่วน โดยแสร้งทำดีปรองดองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดดเดียวทำลายคนเสื้อแดงคุณภาพก่อน ค่อยสลาย “แดงแม่ยก”เปลียนเป็น”แดงจงรักภักดี”แบบขวัญชัยไพรพนา เมื่อหมดฐานมวลชนเสื้อแดงก็ถึงคิวเชือดพรรคเพื่อไทย จึงได้เห็นการอี๋อ๋อระหว่างอำมาตย์ใหญ่กับนายกฯปู ก็เพื่อบรรลุแผนนี้
นายกปูเป็นเหมือนนกกระจิบหัดบินเมื่อเผชิญเหยี่ยวใหญ่ที่ช่ำชอง ย่อมไม่เท่าทันหลอก
ดัง นั้นการที่คนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกมาข่ม ขู่คุกคามและโดดเดี่ยวคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวให้ แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และผู้ต้องคดีตามมาตรานี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ แม่ทัพที่ทำลายนักรบของตัวเองเพื่อเอาใจข้าศึก วันใดที่หมดนักรบแม่ทัพก็จะถูกฆ่าอย่างเดียวดาย
หวังว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงฉลาดพอที่จะเท่าทันในแผนนี้
จดบันทึกปากคำจากคุก….. สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
ที่มา thai-ahr
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น