นาฬิกา รูปภาพ ปฎิทิน


       เวลาประเทศไทย...  
 
 
 

       ปฏิทินวันนี้...  

News online

Radio

REDPLUS  LIVE 1
ผู้กล้าปชต. 90.25 MHz
REDSIAM
SOOMHUAGUN
วิทยุ 3DANG 1
วิทยุแกนนอน
วิทยุม้าเร็ว 1
THAIVOICE 2
ติดต่อเรา way2fight.rs@gmail.com
Blog นี้เข้าได้สองทางนะครับ http://way2fight.blogspot.com และ http://fighttillwin.blogspot.com แต่ละ Blog มีบทความให้อ่านต่างกันครับ แต่นอกนั้นเหมือนกันหมดครับ C box เดียวกันครับ เข้าทางไหนก็คุยกันได้ครับ สำหรับท่านที่ต้องการเข้ามาคุยอย่างเดียวเชิญทางนี้ครับ http://way2fight.cbox.ws/ (ห้องสีชมพู) และ http://winniebetter.cbox.ws/ (ห้องสีฟ้า) สำหรับท่านที่ต้องการอ่านแต่บทความอย่างเดียวเพราะคอมช้า ทำให้เสียเวลาในการโหลดหน้าเวบ ทางทีมงาน Blog ได้รวบรวมบทความทั้งหมดไว้ด้วยกันแล้ว เชิญทางนี้เลยครับ http://way2fightnews.blogspot.com/

way2fight C-Box

ห้องลับสำหรับคุยหลังไมค์

World Clock เวลาทั่วโลก

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ครอบครัวผู้ต้องขังเสื้อแดงมุกดาหาร

ภาพชีวิตของครอบครัวผู้ต้องขังเสื้อแดงมุกดาหาร ในวันที่พวกเขาขาดเสรีภาพ ในวันที่ครอบครัวไร้ผู้นำและในวันที่ลูกขาด"พ่อ"



 ครอบครัวของทวีศักดิ์สามชีวิต 

ครอบครัวที่ไร้พ่อ...นายแก่น หนองพุดสา

เมีย ลูก หลาน และแมว ขาดก็แต่พ่อ...นายทองดี 

ย่า..หลาน ประคับประคองกันไป ไม่มีพ่อชื่อณัฐวุฒิ 

พ่อของพระนมวัย 70 กว่าเป็นโรคหัวใจและหอบหืด

ออกวิ่งสามล้อรับจ้างเลี้ยงตัวเอง

สองแม่ลูก(ในท้อง)ตะลอนไปขายลูกชิ้น

เตรียมพร้อม

วันลูกลืมตา แม้ไม่มีพ่อ(นายพระนม กันนอก)

เขียนโปสต์การ์ดส่งกำลังใจให้พ่อ...สู้เพื่อ


ประชาธิปไตย

โอบอุ้มกันไว้

ไม้ใกล้ฝั่ง หากยังรอ ลูกพ่อกลับมา

ในวันที่ไม่มีพ่อ ไก่ต้องรับงานมาทำหาราย

ได้เลี้ยงครอบครัว

อ้างว้างเหลือใจ บ้านที่ไร้พ่อ

(ครอบครัวของนายนพชัย)

พ่อครับ ผมรอพ่ออยู่(ลูกของนายจันที) 

พ่อของสมคิดวัย 60 ยังต้องออกไปดูแลนาด้วยตัวเอง 

พ่อของไมตรี กับหนังสะติ๊กที่รอเจ้าของ 

พ่อของจันทีที่ป่วยเป็นหอบหืดและแม่วัย 70กว่า

ที่ยังต้องหาของป่าไปขาย 

ภรรยาและลูกสาววัย 3 ขวบของณัฐพล

เฝ้ามองพ่ออยู่นอกห้องขัง

 ทองมากป่วย เมียก็ป่วย ลูกก็ป่วย 

แต่ก็ยังไม่ได้อยู่พร้อมหน้า

นานเท่าไหร่??? ที่พ่อจะกลับมา.


ครอบครัวต่อไปอาจเป็นคุณหากความเป็นธรรมยัง


ไม่มีในสังคม

นักโทษการเมืองคือเหยื่อของการเมืองการคิดต่าง

ทางการเมือง...พวกเขาเป็นประชาชน...ไม่ใช่

อาชญากร


ที่มา เพื่อนนักโทษการเมืองไทย

อานนท์ นำภา : บุคคลแห่งปีสำหรับผม นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ พี่หนุ่ม เรดนนท์




30 ธันวาคม 2554

โดย อานนท์ นำภา
ที่มา fb อานนท์ นำภา

บุคคลแห่งปีสำหรับผม นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ พี่หนุ่ม เรดนนท์

พี่หนุ่มเป็นคนเสื้อแดงขนานแท้ที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงมาตลอด

พี่หนุ่มถูกจับกุมในเดือนเมษายน ๒๕๕๓ ที่ห้องพักและถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยกล่าวหาว่าโพสข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป้นแอดมินของเว็ป นปชยูเอสเอ. ศาลพิพากษาจำคุกเขา ๑๓ ปี โดยลงโทษข้อหมิ่นโพสข้อความหมิ่นฯ ๒ กรรม กรรมละ ๕ ปี และฐานเป็นแอดมินของเว็ปไซต์ ๓ ปี

กระดาษที่ถูกปริ้นออกมาจากหน้าเว็ปไซต์ที่มีข้อความที่แสดงความคาดหวังว่าในหลวงจะออกมากอบกู้สถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงเหมือนเหตุกาณ์เดือนพฤษภา ๓๕ และบทความที่ อ.ใจ ได้โพสในเว็ปไซต์ รวม ๓ แผ่น คือการกระทำที่ทำให้เขาติดคุกถึง ๑๓ ปี

อะไรที่ทำให้ผมคิดและเลือกให้พี่เขาเป็นบุคคลแห่งปีนะหรือ...

พี่หนุ่ม นอกจากจะมีความเข้มแข็งมากๆ แล้ว พี่หนุ่มยังคงคอยแบ่งปันความเข็มแข็งและหัวใจนักสู้ไปยังเพื่อนๆผู้ต้องขังด้วยกันด้วย ก็นั่นแหละ ด้วยความมีน้ำใจของแกที่รับอาสาไปทั่ว หลายครั้งที่แกโดนซ้อมจากผู้คุมที่หัวขวาจัดที่ชื่อเสวียน หรือหัวหน้าเหวียน แดน ๘ แต่แกก็ยังยืนหยัด และเป็นความหวังของเพื่อนๆในเรือนจำ

พี่หนุ่มจะคอยดูแลเพื่อนๆเสื้อแดงและเพื่อนๆคดีหมิ่น อากง , พี่หมี , สุรภัคดิ์ ,ณัฐ และอีกหลายๆคน คือครอบครัวของพี่หนุ่ม รวมทั้งยังคอยส่งข้อมูลผู้ต้องขังเสื้อแดงในเรือนจำออกมาเพื่อให้คนข้างนอกได้รับรู้ข่าวคราวของคนข้างใน รายชื่อผู้ต้องขังเสื้อแดงทั้งหมดมาจากเขา

จดหมายนับร้อยถูกส่งออกมาบอกเล่าเรื่องราวร้อยพัน เขาทำไปทำไม...

" คุณอานนท์ หากผมพอจะช่วยพี่น้องเราได้ขอให้บอกผม ผมจะทำเต็มที่และทำด้วยชีวิตของผม และหากผมเป็นอะไรไป ช่วยบอกพี่นกให้ดูแลน้องเว็ปแทนผมด้วย ผมสู้มามาก เหนื่อยมามาก หากผมขอได้ ผมขอออกไปอยู่ดูแลลูกผม ผมอยากออกไปดูลูกชายวัยที่ลำลังเติบโต ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด และหากคนข้างนอกสู้กันต่อไปไม่ไหว ให้บอกผม... อย่าปิดผมเลย"

พี่หนุ่มคือคนที่คิดโครงการ "ของขวัญสีแดง" ที่ให้มีกิจกรรมเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทุกวันที่ ๑๙ บัญชีเงินฝากเขาจะถูกใช้อย่างน่าตกใจเพราะเขาคือที่พึ่งเดียวของเพื่อนๆในเรือนจำ...เขาไม่เคยบ่น

แน่นอนว่าทั้งหลายทั้งปวงล้วนถูกแลกมาด้วยอิสระภาพ และคราบน้ำตาของเขา ผมยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้ที่ทำให้เขาติดคุก ผมนึกถึงประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง ชอล์แชงค์

"ทนายผมมันห่วย"

แทนที่ผมจะเป็นคนที่ไปให้กำลังพี่หนุ่ม พี่หนุ่มกลับเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจผม และน่าจะรวมถึงเพื่อนร่วมงานของผมอีกหลายคนที่คอยเข้าไปแวะเวียนเยี่ยมเยือนพี่หนุ่มในเรือนจำ... เขาทำได้ไง...

เรื่องราวของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ความซับซ้อนและความกลัวที่ถูกทำลายลง ผมขอคารวะหัวใจ และน้ำใจอันงดงามของพี่หนุ่ม เรดนนท์

จนกว่าเราจะพบกันอีก....

อานนท์ นำภา
๒๙ ธ.ค.๕๔
สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์

ที่มา thaienews


วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จำคุก 10 ปี เสื้อแดงปล้นปืนทหาร 2 กระบอก ระหว่างรุมขวางรถทหารปี 53



28 ธ.ค.54  ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา ห้องพิจารณาคดี 811 มีการอ่านคำพิพากษา คดีดำที่ อ.2440/2553 ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลย  ฟ้องนายคำหล้า ชมชื่น ว่ากระทำความผิดในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ ซึ่งเป็นอาวุธปืนของทหาร โดยเหตุเกิดในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) เมื่อปีที่แล้วซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้าขวางรถบรรทุกของทหารที่จะเข้า พื้นที่บริเวณใกล้ซอยหมอเหล็ง โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340 วรรแรก ฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 15 ปี จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวน และนำชี้สถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้ 1 ใน 3 จำคุก 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาอาวุธปืน ซองกระสุนปืน และกระสุนปืน ที่ยังไม่ได้คือเป็นเงิน 19,261 บาท แก่ผู้เสียหาย โดยผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาคือ นางอัญชลี อริยะนันทกะ และ นายธเนศ ไชยหมาน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอัญชลี ผู้พิพากษา ได้ให้ผู้เข้าฟังการพิจารณาคดียืนรายงานตัวทีละคนก่อนอ่านคำพิพากษา และระหว่างการอ่านคำพิพากษาราว 20 หน้า ทนายจำเลยได้ไปยืนฟังการอ่านคำพิพากษาจนชิดบัลลังก์ เนื่องจากศาลอ่านคำพิพากษาด้วยเสียงที่จำเลยและผู้เข้าฟังการพิจารณาไม่ สามารถได้ยินได้ โดยระบุว่าคำพิพากษาค่อนข้างยาวและไม่สามารถตะเบ็งเสียงอ่านทั้งหมดได้


ทั้งนี้ คำหล้าถูกจับกุมเมื่อวันที่ 27 พ.ค.53 และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาจนปัจจุบัน โดยในคำฟ้องของโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกอีก 3 คน  ร่วมกันปล้นทรัพย์ อาวุธปืนเล็กกล (M16) ขนาด .223 (5.56 มม.) 2 กระบอก ราคากระบอกละ 16,031 บาท ซองกระสุน 6 ซอง  ราคา 2,280 บาท  และกระสุนปืนขนาด 5.56 มม. 100 นัด ราคา 950 บาท ของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ จ.ส.อ.สอน  แก่นทน, จ.ส.อ.ทวี ภูดินดาน  และ ส.ต.วิรัตน์ ศรีหาสาร ไปโดยทุจริต โดยจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาอาวุธปืน, ซองกระสุน และกระสุนปืน 19,261 บาท  แก่ผู้เสียหายด้วย


นายวิญญัติ ชาติมนตรี หนึ่งในทีมทนายความที่เข้าฟังการพิจารณาคดีได้สรุปประเด็นให้ผู้สื่อข่าวฟัง ภายหลังการอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นว่า ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อสงสัยในพยานโจทก์ไม่ว่าจะเป็นการที่จำเลยอ้างว่าถูกข่มขู่ให้รับสารภาพใน ชั้นสอบสวนนั้น จำเลยไม่ได้สืบให้เห็นว่ามีการข่มขู่อย่างไร และการที่ทหารเข้าไปในเรือนจำชี้ตัวจำเลยผิดก็ไม่ได้เป็นเหตุรับฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิด อีกทั้งจำเลยรับสารภาพแต่ต้นแล้วอ้างว่าลงลายมือชื่อไปโดยไม่รู้ว่าเป็นคำ รับสารภาพ ไม่อาจรับฟังได้เนื่องจากเป็นเรื่องประโยชน์ของจำเลยเองที่ควรจะอ่าน ส่วนการอ้างว่าที่ไปชี้จุดโดยไม่รู้ว่าเป็นที่ใดนั้นก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และการเบิกความว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ในที่ทำงานคือสำนักระบายน้ำ กรุงเทพฯ จำเลยมีพยานเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งเบิกความว่าการตรวจสอบว่าใครมาทำงานมี เพียงการโทรศัพท์สอบถามเท่านั้นทำให้ไม่มีน้ำหนัก ประกอบกับภาพข่าวในวันเกิดเหตุที่ได้จากสถานีโทศน์ TPBS และสำนักข่าว TNEWS ก็น่าเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่จำเลยร่วมอยู่ ส่วนอาวุธปืนเล็กนั้นพบซุกซ่อนอยู่ในวัดปทุมวนาราม 1 กระบอก ส่วนอีกกระบอกหนึ่งจำเลยอ้างในชั้นสอบสวนว่านำไปทิ้งในคลองบริเวณที่เกิด เหตุแล้ว


สมศรี สงวนสิทธิ์ ภรรยาของคำหล้าให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำพิพากษาทั้งน้ำตาว่า รู้สึกตกใจกับผลที่เกิดขึ้นอย่างมากและเป็นสิ่งเกินความคาดหมาย สำหรับประวัติครอบครัวนั้นเธอและคำหล้าทำงานอยู่ที่เดียวกัน โดยคำหล้าสนใจเรื่องการเมืองและร่วมชุมนุมมาตั้งแต่มีกลุ่มเสื้อแดงใหม่ๆ เมื่อปีที่ผ่านมาเขามักจะไปฟังปราศรัยหลังเลิกงานอยู่เสมอ หลังจากคำหล้าถูกคุมขังในเรือนจำมาเกือบ 2 ปี ครอบครับลำบากมากเนื่องจากเธอมีเงินเดือนเพียง 8,000 บาทสำหรับดูแลลูกชายวัย 7 ขวบ เงินที่ขายมอเตอร์ไซด์ของครอบครัวเพื่อใช้เป็นรายจ่ายในการไปเยี่ยมคำหล้าก็ หมดแล้ว


ด้านนักกิจกรรมจากกลุ่มเพื่อนนักโทษการเมืองที่ใช้นามแฝงว่า “นกแดง” กล่าวว่า ได้พาลูกชายของคำหล้าไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับบริจาค เนื่องจากเห็นว่าครอบครัวนี้มีฐานะยากจนมาก และต้องอยู่อย่างยากลำบากภายใจห้องเช่าเล็กๆ ย่าน สน.ดินแดง ผู้สนใจช่วยเหลือสามารถบริจาคได้ที่ บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ชื่อบัญชี ด.ช.อภิชาติ ชมชื่น เลขที่ 688-0-08345-5

ที่มา prachatai

ข่าวที่เกี่ยวข้อง จดหมายจากคน (คุก) รักทักษิณ : FORGIVE AND 'FORGET’ ? (1)  

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ศาลยกฟ้อง! คดีเสื้อแดงวางบึ้ม Big-C ราชดำริ


เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเสกสรรค์ วรปีติเจริญกุล อายุ 37 ปี อดีตแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิด และเครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมาย และ พ.ร.บ.อาวุธปืน จากกรณีระหว่างปลายเดือน เมษายน-14 พฤษภาคม ปี 2553 โดยจำเลยถูกกล่าวหาว่า ร่วมกับพวก ครอบครองระเบิดในรถยนต์ซีวิค ที่จอดทิ้งไว้ ในพื้นที่ สน.โคกคาม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ


ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จำเลยจะขับรถมารับเพื่อน ซึ่งเป็นแนวร่วม นปช.ในการไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง แต่ก็เป็นเพียงอุดมการณ์ทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำเสนอให้เห็นว่า จำเลยร่วมชุมนุมกับพวก นปช. โดยใช้อาวุธ และโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันได้ว่า จำเลยร่วมครอบครองวัตถุระเบิดจำนวนดังกล่าวพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

ที่มา go6

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เลี้ยงรับขวัญเสื้อแดงราชบุรีพ้นคุกเมื่อวาน ตัดพ้อรัฐและพรรคเพื่อไทยไม่ค่อยช่วยเหลือ



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
19 ธันวาคม 2554

กลุ่มคนเสื้อแดงราชบุรี นำโดยนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล ได้จัดเลี้ยงรับขวัญนายนคร สังข์สุวรรณ นักโทษคดีการเมืองเสื้อแดงที่มีพื้นเพเป็นคนราชบุรีสู่อิสรภาพเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมอบเงินขวัญถุงให้เริ่มต้นชีวิตใหม่จำนวนหนึ่ง

นายนครถูกจับกุมดำเนินคดีในวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ในข้อหามีอาวุธในครอบครอง และข้อหาอื่นๆ เขากล่าวว่าถูกยัดอาวุธแล้วทหารที่จับกุมซ้อมให้รับสารภาพ อัยการก็บอกให้สารภาพเพื่อให้โทษเบา ในที่สุดถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 6 เดือน โดยติดคุกมาเป็นเวลาปีครึ่งแล้วได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา

นายนครมีพื้นเพเป็นชาวราชบุรี มีการศึกษาม.3ต่อมาไปเป็นพนักงานในร้านขายโทรศัพท์มือถือในกรุงเทพฯ เข้าร่วมการชุมนุมกับนปช.ตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว และนวดเฟ้นให้สจ.สุทัศน์ นักการเมืองท้องถิ่นราชบุรี เขามีรูปร่างเล็กมากและใช้อาวุธปืนไม่เป็น และไม่น่าจะแบกปืนไหว

นายนครได้เขียนจดหมายถึงแกนนำนปช.ส่วนกลางและพรรคเพื่อไทยผ่านทางนายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนเสื้อแดงราชบุรีว่า ตลอดเวลาที่เขาถูกจับกุมแทบไม่ได้รับการเหลียวแลจากนปช.หรือพรรคเพื่อไทยและ รัฐบาลเลย ทั้งที่เขาป่วยหนักด้วยวัณโรค ทางนปช.กับพรรคเพื่อไทยช่วยเหลือเพียง 1,000 บาท นอกจากนั้นเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่เห็นอกเห็นใจคอยดูแลติดตาม รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงราชบุรีที่รวบรวมเงินช่วยเหลือ 7,000 บาทช่วงติดคุกอยู่ และมอบเงินให้อีกราว 5,000 บาทในตอนจัดเลี้ยงรับขวัญ

นายนครกล่าวว่าอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยและนปช.ได้ช่วยเหลือเยียวยาเขาด้วย โดยหากเป็นการช่วยเหลือได้ อยากได้ทุนเริ่มต้นค้าขายเล็กๆน้อยๆเพราะเมื่อพ้น โทษแล้วยังไม่มีอาชีพใดๆและร่างกายก็ทรุดโทรมจากการถูกซ้อมและอาการป่วยจาก วัณโรค เนื่องจากตอนติดคุกนั้นทางเรือนจำได้นำนักโทษที่ป่วยเป็นวัณโรคไปขังไว้รวม กัน เลยยิ่งทำให้อาการแย่ลง

ที่มา thaienews

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปรวย Salty Head : ตอนที่ 3 บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อนยังไง



ที่มา  fb ‎Pruay Salty Head
16 ธันวาคม 2554


ถ้า ใครยังจำได้หลังจากผมโดน ดีเอสไอ บุกจับกุม ผมเขียนเรื่องราวเล่าเรื่องว่าดีเอสไอจับผมยังไง เผยแพร่ในอินเตอร์เนตเพื่อแชร์ประสบการณ์ที่หาได้ยากกับเพื่อนๆในโลกไซเบอร์ ถ้าท่านเคยอ่านจะเห็นได้ว่าผมไม่เคยมีอคติโกรธเคืองกับเจ้าหน้าที่ที่จับกุม ผม เพราะผมเข้าใจว่าเขาทำตามหน้าที่ ส่วนกฏหมายที่ใช้จับกุมมันมีปัญหาในการบังคับใช้ภายใต้อุดมการณ์กษัตริย์ นิยมที่ปกคลุมประเทศนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึง
ผมเองก็ ไม่คิดว่าผมจะต้องมาเขียนเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่อเนื่องนี่อีก ครั้งเป็นครั้งที่ 3 ผมไม่คิดว่าบ้านเมืองเราจะเข้าสู่ยุคเถื่อนถึงขนาดนี้ ตลอดมาหลังจากผมหลบหลี้หนีภัยออกนอกประเทศ ผมเข้าขอความช่วยเหลือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในต่างประเทศ รวมทั้งองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง UNHCR

ผมถูกสัมภาษณ์นับครั้งไม่ถ้วน กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมก็เล่าให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีใส่สีตีไข่ โดยเฉพาะประเด็นที่เขาถามเน้นคือขณะที่เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ เข้าจับกุมผมมีการทรมานผมหรือไม่ รังแกผมหรือไม่ ผมตอบไปตามตรงว่าไม่มีเลย เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ที่เข้าจับกุมปฏิบัติต่อผมอย่างดี สั่งอาหารมาให้ผมกินระหว่างสอบสวนด้วย พูดกับผมอย่างดี ที่ผมเล่าไปแบบนี้เพราะผมคิดว่าถึงแม้เจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมผมและผมหลบหนี ขณะนี้ มันก็เหมือนเรากำลังเล่นเกมส์แมวจับหนูกัน

เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ไล่จับผม ส่วนผมเป็นมนุษย์ผู้รักเสรีภาพผมไม่ยอมให้ตัวเองขาดอิสระภาพผมก็ต้องหนี และผมคิดว่าเกมส์ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้เป็นแฟร์เกมส์ ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่จะเล่นเกมส์ตามกฏกติกาที่มีอยู่ ซึ่งจะว่าไปตามกฏกติกาที่มีอยู่ในสภาพบ้านเมืองไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็ถือแต้มต่อเหนือกว่าผมมากมาย

แต่ผมไม่คิดเลย ว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือกฏหมายฉบับที่เอาเปรียบกฏขี่บังคับประชาชน อยู่ในมือแบบมีอำนาจล้นเหลืออยู่แล้ว พวกท่านยังพยายามใช้อำนาจเถื่อนเล่นเกมส์นอกกฏกติกาที่มีมากอยู่แล้วเข้าไป อีก
วันที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบุกเข้าจับผมเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาพาผมกลับไปบ้าน พวกเขาเข้าค้นบ้านผมทุกซอกทุกมุม ก็ไม่พบสิ่งของผิดกฏหมายอะไร คงพบแต่โน๊ตบุ๊คผมและหนังสือมากมายเต็มบ้าน พวกเขายังหยิบหนังสือการเมืองบางเล่มไปเพื่อจะดูว่าผมอ่านอะไรบ้าง และภายหลังพวกเขาก็คืนมาให้ผมอย่างดี
หลังจากนั้น เมื่อผมหลบหนีออกจากประเทศไม่นาน บ้านหลังนี้ที่ผมตั้งใจซื้อเพื่อให้แม่กับน้องผมได้มาอยู่ด้วยก็มีเหตุ จำเป็นให้ต้องประกาศขาย เพราะเมื่อผมไม่อยู่ต้องหลบออกจากประเทศ ผมไม่มีงานทำ เงินที่ผ่อนบ้านแต่ละเดือนแม่กับน้องสาวผมไม่อาจรับภาระไหว ผมจึงต้องตัดใจประกาศขาย และเพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อมั่นใจว่าเมื่อซื้อแล้วท่านสามารถเข้าอยู่ ได้ทันที ผมจึงต้องให้แม่กับน้องสาวย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น บ้านหลังนี้ก็ว่างลงเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ไม่มีสิ่งของหลงเหลือในบ้าน คงมีแค่จักรยานคันโปรดของผมฝากจอดไว้อยู่
แต่แล้วจู่ๆไม่กี่วันมานี้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เล่นเกมส์เถื่อนกับผม เขาโทรไปหาน้องสาวผมทำทีเป็นขอซื้อบ้าน ถามว่าทำไมถึงขายบ้าน น้องสาวผมก็บอกไปว่าพี่ชายให้ขายเพราะพี่ชายไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีคนโทรมาอีกครั้งคราวนี้เปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าจะขอเข้าค้นบ้าน มีกุญแจมั๊ย ซึ่งแน่นอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นัดล่วงหน้า น้องสาวผมก็อยู่ไกลและไม่ได้เตรียมกุญแจมาจึงบอกไปตามนั้น

แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับบอกว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านแล้ว จะขอเข้าค้นเลย มีหมายค้นด้วย น้องสาวผมก็เลยงงว่าจะค้นหาอะไรเพราะบ้านไม่มีใครอยู่มาเป็นปีแล้ว และสิ่งที่ตำรวจบอกทำให้ตอนนี้แม่และน้องสาวผมตกใจและหวาดกลัวมาก เพราะตำรวจบอกว่า จะเข้าค้นปืนเถื่อนภายในบ้าน! และพวกเขาก็เข้าไปค้นภายในบ้านโดยที่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาใช้กุญแจอะไรไข เข้าไป และขณะที่ค้นก็ไม่มีคนที่ผมมอบหมายรับรู้การค้นนั้นด้วย และตอนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขาบันทึกการตรวจค้นว่าพบอะไรหรือไม่!

เหตุการณ์บัดซบที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลสองอย่าง
หนึ่ง การที่ตำรวจยกขโยงกันไปค้นบ้านแบบนี้ แน่นอนเพื่อนบ้านย่อมแตกตื่นและเป็นที่โจษจันกัน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้การที่บ้านหลังนี้จะขายได้ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะผมสังเกตุพฤติกรรมคนมาซื้อบ้านก็มักจะไต่ถามความเป็นไปของบ้านจาก เพื่อนๆบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าคนจะมาซื้อทราบว่าบ้านหลังนี้เห็นตำรวจยกโขยงมาค้นปืนเถื่อนแบบนี้ ท่านว่าจะมีใครอยากซื้อหรือไม่

สอง หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้แม่และน้องสาวผมหวาดกลัวและกดดันมาก จริงๆมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เคยเล่าคือ เมื่อผมโพสเรื่องราวที่ผมโดนจับครั้งแรกนั้น แม่ผมกับน้องก็โดนเรียกไปสอบ นั้นทำให้ครั้งนี้ พวกเขาถึงขนาดเอ่ยปากฝากมาว่าให้ผมเลิกโพสอะไรเสียทีเถอะ เพราะคนที่อยู่ในประเทศเดือดร้อน นี่มันก็เหมือนเจ้าหน้าที่ทำอะไรผมไม่ได้ก็เที่ยวไปกดดันคนที่ผมรักแทน เพื่อจะให้ผมหยุดต่อสู้
ผมอยากจะฝากบอกไปถึงเจ้า หน้าที่บ้านเมืองทั้งหลายไม่ว่าหน่วยไหนก็ตาม ผมเป็นประชาชนธรรมดาครับ ผมไม่เคยมีอาวุธใดๆในบ้าน ไม่ว่าอาวุธถูกกฏหมายหรืออาวุธเถื่อน อย่าใส่ร้ายป้ายสีผม หรือไม่ทราบว่าท่านมองจักรยานเสือหมอบผมเป็นอาวุธ!
แต่ถ้าผมจะมีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้เพื่อให้ประเทศที่ผมรักมีควา ยุติธรรมกลับคืนมา เพื่อให้ประชาชนที่รักเสรีภาพอยู่กันอย่างไม่ต้องหวาดกลัวกฏหมายและอำนาจที่ ไม่เป็นธรรม ผมก็จะบอกว่าผมมีแค่กล้องถ่ายรูป มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และอาวุธอีกอันที่สำคัญที่ผมมี ซึ่งท่านควรจะกลัวมากกว่าอาวุธปืนที่พวกท่านเสแสร้งปั้นแต่งขึ้นเพื่อป้ายสี ผม นั่นคือหัวใจของผมครับ

ในชีวิตผม ก็เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาบ่อยครั้ง เรื่องการยัดข้อหาให้กับประชาชนผู้บริสุทธ์ แต่ผมไม่คิดว่าผมจะเจอเข้ากับตัวเอง ผมไม่ทราบว่าที่พวกท่านกระทำลงไปมีเหตุผลอะไร

ผมไม่รู้พวกท่านพยายาม ปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม พวกท่านคงพยายามจะสร้างภาพว่าประชาชนในประเทศนี้ที่ลุกขึ้นเรียกร้องความ เป็นธรรมในประเทศ เป็นพวกก่อการร้าย เหมือนๆกับที่ท่านพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีประชาชนมาตลอด เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องจริงว่าที่ประชาชนลุกขึ้นมาสู้นั้นเพราะอะไร

แต่ พวกท่านคงได้แต่มองประชาชนอย่างผิวเผิน คิดเอาเองว่าต้องมีปืนเท่านั้นประชาชนจึงจะกล้าลุกขึ้นสู้ แต่ผมอยากให้พวกท่านลองมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ ดูเถิดครับ ว่ามีประชาชนมือเปล่าหรืออย่างเก่งก็แต่มีหนังสติ๊กวิ่งเข้าสู้ทหารที่มี อาวุธปืนเต็มอัตราศึกอย่างไร พวกเขาไม่มีอาวุธเทียบเท่าพวกท่าน แต่อย่างนึงที่ประชาชนผู้ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมมีเหนือกว่าพวกท่าน คือหัวใจครับ
และถ้าท่านจะใช้กฏหมายวิธีการพิสดาร พันลึกเข้าเหยียบย่ำบีบบังคับหัวใจคน เหล่านี้ ผมขอบอกว่า นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาสยบยอมแล้ว พวกเขาจะลุกขึ้นสู้และตะโกนบอกพวกท่านว่า กูไม่กลัวมึงครับ แม้พวกเขาจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือก็ตาม
ท้าย นี้ผมรับประกันแบบมนุษย์ธรรมดาคนนึงได้เลยครับว่า แม้ว่าพวกท่านจะพยายามใช้วิธีเถื่อนใส่ร้ายป้ายสีผมอย่างไร ผมก็จะสู้กับพวกท่านอย่างแฟร์เกมส์ครับ ผมจะไม่ใช้วิธีเถื่อนอย่างที่พวกท่านทำกับผมแน่นอนครับ ผมขอเอาเกียรติของประชาชนธรรมดานี่แหละครับยืนยัน
เพราะ ผมเชื่อว่าเมื่อวันนึงประเทศเขาสู่ความปกติและมีเสรีภาพ เมื่อนั้นประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้เองครับว่า ในวันที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อนใครหน่วยงานไหนทำอะไรไว้บ้าง.

ปรวย salty head
16 ธันวาคม 2554

เป็น วันที่ตัดสินใจยากยิ่งว่าจะโพสเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ดีหรือเปล่า แต่แล้วก็ตัดสินใจโพสครับ และพร้อมยอมรับและเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากโพสไปแล้ว


0 0 0 0 0
                                                                                                                                    
ที่มา timeupthailand

ปรวย salty head ตอนที่ 1 : เขาจับผมยังไง

วันจันทร์ 26 กรกฎาคม 2010


ปลาย เดือนพฤษภาคม วันนี้ตั้งใจขับรถออกไปซื้ออะหลั่ยจักรยาน เพื่อจะทำรถให้ดี อยากขี่ไปต่างจังหวัด กะว่าจะตลุยเหนือ อีสาน ขี่จักรยานไปคุยกับพี่น้องที่บอบช้ำกลับไปจากการชุมนุม อยากไปถ่ายรูปเผื่อมาทำสารคดี เพื่อให้ชาวบ้านมีพื้นที่ในการพูดบ้าง

กินข้าวอาบน้ำเสร็จ ราวบ่ายโมงกว่าๆ ขับรถออกไปจากหมู่บ้าน ออกไปได้ไม่ไกล เรียกว่าแถวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละ มีรถคันนึงกำลังกลับรถอยู่ข้างหน้า ทำให้รถคันข้างหน้าผมติดคาอยู่ ปรากฏว่าผู้หญิงคนที่กำลังกลับรถ กลับจอดรถลงมาเปิดฝากระโปรงหน้า ผมนึกในใจอ้าวรถเสียนี่หว่า แถมจอดคาถนนด้วยสงสัยแบ๊ตหมด นึกได้ว่าในรถผมมีสายชาร์ท กำลังจะขยับรถเบี่ยงออกซ้าย เพราะเห็นรถคันหน้าผมจอดเฉยๆ กลับมีรถทางซ้ายวิ่งขึ้นมาด้านข้างรถผม ทำให้ขยับไม่ได้ นึกด่าในใจ ไอ้ห่าจะไปช่วยเข้าชาร์ทแบ๊ตเสืออกมาขวาง

ผมขยับจะเปิดประตู ก็มีชายวัยประมาณ 50 ใส่สูทเดินมาข้างรถ ตอนแรกนึกว่าคนบ้า เพราะอากาศร้อนขนาดนี้เสือกใส่สูทกลางถนน แต่ที่ไหนได้ ชายคนนี้เปิดด้านในเสื้อให้ดู มีปักคำว่า DSI ! จึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมไขกระจกลง ชายคนนั้นถามว่าปรวยใช่มั๊ย ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธ และผมเคยคิดไว้แล้วว่าถ้าโดนจับ ผมจะไม่แถแน่ๆ แต่จะพูดความจริง ผมบอกใช่ ชายคนนั้นบอกขอเข้าไปคุยในรถ ผมบอกงั้นเดี๋ยวผมเรียกทนาย ชายคนนั้นรีบบอก อ๋อนี่จะเอาแบบ formal ใช่มั๊ย

ผมเปิดประตูให้เขามานั่งในรถ เขาเอาหมายค้นให้ดู ผมดู ศาลแม่งขยันฉิบหายอออกหมายค้นให้วันอาทิตย์ (วันที่เขามาจับผมวันจันทร์) ชายคนนั้นถามผมว่า ผมไปโพสรูปอะไรในเว็บ ตอนนั้นผมนึกว่าเขาหมายถึงภาพตัดต่อ เว็บแรกผมนึกถึงรูปลิง ซึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นกฏหมายหมิ่น รูปอะไรแบบนั้นน่าจะเข้าข่าย นั้นทำให้ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยโพสรูปแบบนั้นแน่ๆ ผมเลยบอกไปว่าไม่มีอ่ะ ผมไม่เคยโพสรูป เดี๋ยวตอนหลังผมจะเฉลยว่าเขาหมายถึงรูปอะไร ท่านทั้งหลายคอยกลั้นหัวเราะให้ดีก็แล้วกัน

เขาบอกผมอีกว่าคุณทำผิดเรื่องความมั่นคง ผมเลยฟิวส์ขาดแต่เก็บอารมณ์ไว้ได้หน่อยนึง เลยสวนไปว่าความมั่นคงบ้าอะไรของพวกคุณ คุณแม่งเอาความมั่นคงของประเทศชาติไปผูกไว้กับครอบครัวครอบครัวเดียว แบบนั้นไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศ ตำรวจนายนั้นเลยชะงักไปหน่อย ผมคิดว่าเขาคงคิดในใจว่า งานนี้ไม่หมูแน่ๆ

จากนั้นเขาบอกให้ผมกลับเข้าไปในบ้าน ให้แกล้งบอกยามว่ามาปาร์ตี้กัน เดี๋ยวจะมีรถเจ้าหน้าที่ตามมาอีกสี่ห้าคัน ผมถึงรู้ว่าไอ้รถที่รายล้อมผมอยู่นั้นเป็นรถ DSI ทั้งหมด ตอนนั้นผมนึกในใจ ไอ้เหี้ยนี่กูคงไปฆ่าใครตายมั้ง แม่งถึงแห่กันมาขนาดนี้
ถึง บ้านตอนแรกผมก็ยังกวนตีนอยู่บอกยังไม่ให้เข้าบ้าน เดี๋ยวจะเรียกทนาย ตอนนั้นผมโมโหมาก เลยโวยวายไปว่าอ้อนี่เห็นว่ามีอำนาจจาก พรก เลยจะใช้ปืนกดหัวประชาชนหรือไงวะ บอกให้ก็ได้ผมไม่ได้โง่ ไม่ใช่ตาสีตาสานะ

เจ้าหน้าที่ผู้หญิงรับบอกว่าไม่มี ไม่มีใครมีปืน เบ็ดเสร็จผมนับคร่าวๆ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่มาที่บ้านผม ประมาณราวๆ เกือบยี่สิบคน ไอ้เหี้ยนี่กูคงไปฆ่าใครตาย จริงๆแน่เลย ทำไมกูไม่รู้วะ?!?

หลังจากนั้นแม่กับป้าก็บอกให้ผมใจเย็นๆ ผมเลยเย็นลง เลยเอ้าอยากค้นอะไรก็ค้นไปตามสบาย เจ้าหน้าที่ก็เริ่มค้นในรถในบ้าน โดยมีผมตั้งใจเดินกวนตีนตามตลอด ซึ่งมันก็น่าจะกวนตีน

เขา ถามหาโน๊ตบุ๊คผม ผมก็พาขึ้นไปบนห้อง ให้ไปทั้งตัวเก่าและตัวใหม่ บนห้องนอนผมจะมีชั้นหนังสือสูงจากพื้นจรดเพดานเต็มผนัง อัดแน่นไปด้วยหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คและดีวีดี ซึ่งก็เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่ DSI ตัวหัวหน้าคนที่เข้าชาร์จผมคนแรกในรถ ไปเห็นหนังสือ การปฏิวัติฝรั่งเศสสามเล่ม 2 เล่มเป็นของอาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัยเขียน อีกเล่มเป็นของหม่อมเจ้าอทิตยา อะไรสักอย่างผมลืมชื่อไป

แกก็ดูตื่นเต้นบอกนี่ไงๆ ผมบอกอะไรนี่มัน พศ. สองห้าสามห้านะครับ ไม่ใช่สองห้าหนึ่งเก้า จะได้มีความผิด หนังสือแบบนี้เขาขายกันทั่วไป แกก็หัวเราะบอกว่าเปล่าไม่มีอะไร แกบอกลูกน้องให้เอาไปด้วยเพื่อจะได้รู้แนวคิด ! แต่ลุกน้องก็ลืมหยิบไป
ขณะ ที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังค้นของอยู่นั้น ตัวหัวหน้าและอีกคนก็พยายามคุยกับผมดีๆ ผมก็คุยดี แต่ผมก็พูดตรง เพราะโอกาสแบบนี้คงไม่มีบ่อยนักที่ผมจะได้พูดตรงๆกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

แกบอกว่าอ่านหนังสือเยอะนะ ผมบอกครับก็เพราะผมอ่านเยอะไง ผมถึงรู้อะไรเยอะ รู้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก รู้ว่าทำไมตอนนี้มันถึงสองมาตราฐาน รู้ว่าทำไมตอนยึดทำเนียบปิดสนามบิน ไม่มีใครทำอะไร มาตอนนี้แม่งไล่ฆ่าประชาชน ตำรวจหัวหน้าแกก็หัวเราะแล้วหันมาพยักเพยิดกับผมบอกว่าเนอะ ตอนนั้นตายสองคนตำรวจโดนสอบ ตอนนี้ตายแปดสิบกว่าคนไม่เป็นไร

ผมไม่รู้แกพูดเพื่อให้ผมรู้สึกมีพวกหรือแกรู้สึกจริงๆผมก็ไม่ทราบได้ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ


พอลงมาข้างล่างมาที่โต๊ะทำงาน คราวนี้หนังสือบนโต๊ะยิ่งเป็นที่สนใจของ DSI มากขึ้น 4-5 เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นล้วนเป็นหนังสือของท่านปรีดีทั้งสิ้น เท่าที่จำได้เล่มนึงเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี ผมกำลังสนใจเรื่องนี้ สนใจเรื่องสวัสดิการสังคมที่ท่านคิดมาตั้งแต่ก่อนปี 2500 แต่กลับถูกหาว่าเป็คอมมิวนิสต์ ผมว่ากำลังจะหาแง่มุมมาทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำแบบให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องปีนกะไดฟัง ปีนกะไดดู

อีกเล่มก็เป็นของคุณสุพจน์ด่าน ตระกูล เขียนเรื่องปรีดีหนี ส่วนอีก 2- 3 เล่มจำไม่ได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่รวบไป เลยได้ทีผมกวนตีนอีก

ผมพูดแบบหัวเราะเยาะเย้ยเช่นเดิมว่า เฮ้ยหนังสือปรีดีนี่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ขายกันใต้ดินแล้วนะ ไปงานสัปดาห์หนังสือนี่วางขายกันเยอะเลยนะ ประมาณนี้ที่ผมพูด
เมื่อ ได้ของจนพอใจ (จริงๆเจ้าหน้าที่ก็กวาดสาดๆไป ซีดีบนโต๊ะที่พวกคนทำงานกับผมเอางานมาส่งก็กวาดไปด้วย สงสัยจริงๆว่าจะเปิดดูทุกแผ่นหรือเปล่า)

จากนั้นก็ให้ผมเซ็นรับ ปิดผนึกอย่างดี บอกว่าจะเปิดก็เมื่อเปิดต่อหน้าผมเท่านั้น เอาของไปเก็บไว้แล้วจะนัดผมไปเปิดซองตรวจของกันทีละชิ้น ผมก็เซ้นต์ๆไป
แต่ ผมบอกว่า โน๊ตบุ๊คของน้องสาวผมไม่เกี่ยวช่วยกรุณาเอามาคืนเขาไวๆด้วย เพราะเขาไม่เกี่ยวและจริงๆก็ไม่ควรเอาไปด้วย แต่ตำรวจหัวหน้ารีบบออกว่าไม่ได้ต้องเอาคอมไปให้หมดเพื่อตรวจสอบ โชคดีผมไม่ได้บอกว่าผมมีเครื่อง Imac รุ่นแรก กับ mac LCII รุ่นจอขาวดำที่ผมเก็บสะสมอยู่ด้วย ถ้าบอกคาดว่าแกคงให้ลูกน้องเอาไปด้วย

จากนั้นเขาก็บออกให้ผมไปที่ DSI ผมถามว่าจะควบคุมตัวผมเลยหรือไม่ ผมจะได้เตรียมตัว เจ้าหน้าที่รีบบอกว่าเปล่าแค่ไปสอบสวน ขับรถไปได้เลยเอาแม่ไปด้วย ผมบอกแถวนั้นมันหลายประตูผมกลัวเข้าไม่ถูกถ้าเลยแล้วกลับรถไกล ให้ตำรวจมานั่งรถผมคนนึงจะได้คอยบอกทาง ตำรวจนายนึงที่ดูท่าทางเป็นมิตรก็ขึ้นมานั่งรถผม
จริงๆ ระหว่างตรวจค้นในบ้านตำรวจก็พยายามคุยเรื่องทั่วไป ผมเข้าใจว่าคงเพื่อให้ผมผ่อนคลายและรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้จะทำร้ายอะไร

ซึ่งดูของทุกอย่างในบ้านผมจะเป็นที่สนใจของตำรวจไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเสียง เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเสียง ตำรวจบางนายถามผมว่าชอบฟังเพลงอะไร ผมบอกว่าชอบฟังแจ๊ซ แกก็บอกเออผมก็ชอบ วันหลังมาขอฟังบ้างเพราะแกก็เล่นเครื่องเสียง บางคนเห็นจักรยานผมก็สนใจผมก็อธิบายให้ฟังว่าจักรยานที่มันแพงๆหน่อยมันดี กว่าจักรยานธรรมดายังไง บรรยากาศช่วงนี้เหมือนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้านจริงๆ

ช่วงหน้ามาดูว่า เขาสอบสวนผมยังไง หรือมาดูว่าใครสอบสวนใคร โปรดคอยติดตามด้วยความระทึกในหทัยพลัน (ขอยืมสำนวนหน่อยนะครับ มติชน ฮา)

ที่มา timeupthailand

ปรวย salty head ตอนที่ 2 : เขาสอบสวนผมยังไง

วันพุธ 28 กรกฎาคม 2010

หลัง จากขับรถมาถึงที่ตึก DSI แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาผมขึ้นไปข้างบน ตอนแรกเขาให้ไปที่ห้องหัวหน้า ผมก็ไปยืนรออยู่หน้าห้อง เจ้าหน้าที่ก็แยกย้ายไปตามห้องตัวเอง ผมไม่รู้จะไปไหน ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะทำอะไร ผมเลยยืนมองวิวข้างนอก

ฝนกำลังจะตกเมฆตั้งเค้าทะมึนดำทั่วท้องฟ้า แต่ที่ขอบฟ้าด้านหน้าผมกลับมีแสงส่องทะลุเมฆดำลงมาเป็นลำ สวยอย่างประหลาด ผมควักกล้องดิจิตอลตัวเล็กที่พกไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาถ่ายรูป สักพักเจ้าหน้าที่ก็เดินมา เขาเห็นผมกำลังถ่ายรูปอยู่ เขาถามว่าถ่ายอะไร ผมบอกเมฆ สวยดี มันมีแสงส่องลงมาเป็นลำ เจ้าหน้าอีกสองสามคนเดินมาแถวนั้น เลยมาดูเมฆกับผม ผมไม่ได้บอกเขาหรอกว่า ผมเห็นเมฆนั้นแล้วผมคิดอะไร

ในความมืดมิดปกคลุมยังมีลำแสงแรงกล้าส่องทะลุ ผืนฟ้าแห่งความจริงกว้างใหญ่ใครพยายามจะเอาความเท็จสกปรกมาครอบงำ ย่อมทำได้ไม่หมดแน่ มันต้องมีสักแห่งที่ลำแสงแห่งความจริง ทะลุสาดส่องลงมาถึงพื้นดิน ตัวหัวหน้าก็ออกมาจากห้องมองเมฆที่ผมดูอยู่แป๊บนึงก็เรียกผมเข้าไปในห้อง เสร็จแล้วเขาก็เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายนึงมา บอกว่านี่ไงได้ตัวแล้ว ปรวยฯ เดี๋ยวลองให้เขาเข้าไปที่ประชาไท และฟ้าเดียวกันให้ดู นายตำรวจนายนั้นแกล้งตีหน้ามึน ถามผมว่าเราเป็นคนโพสเหรอ ผมบอกใช่ เขาถามว่าผมเป็นคนดูแลเว็บเหรอ ผมบอกเปล่าผมเป็นคนเข้าไปเล่น จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษากันว่าเอาไงดี หมายถึงจะให้ผมไปใช้คอมฯที่ห้องไหนดี

สักพักเจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรก็เดินมาบอกผมให้ไปที่ ห้องโน้นดีกว่า จะสวบสวนที่ห้องนั้นด้วย ผมก็เลยเดินตามไป พอเปิดประตูห้องเข้าไป ในห้องไม่มีใคร เจ้าหน้าที่คนนี้หันมาบอกกับผม พี่ไม่ต้องกลัว ห้องนี้แม่งแดงทั้งห้อง ผมก็ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไร เพราะผมก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง ไม่ใช่เรื่องตำรวจมะเขือเทศนะ แต่เป็นเรื่องที่ตำรวจจะใช้จิตวิทยาเวลาสอบสวน ให้รู้สึกว่าเฮ้ยเราพวกเดียว มีอะไรคุยกันได้

แต่อย่างที่บอกผมก็เคยนึกถึงซีนแบบนี้ไว้เหมือนกันว่า ถ้าผมโดนจับผมจะทำยังไง ผมนึกไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะพูดความจริง เพราะในยามขับขันแบบนี้ขืนไปโกหกตัวเราเองนั่นแหละที่จะจำไม่ได้ว่าเราโกหก อะไรไป ผมเชื่อในความบุริสุทธิใจของผม ผมไม่ได้ไปโกงใคร ไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ปล้นใคร เพราะฉะนั้นผมจะพูดความจริงที่ผมทำ และจะพูดความจริงที่ผมคิดอย่างไม่ปิดบัง

ผมคิดว่าถึงแม้ผมอาจจะติดคุก แต่เมื่อวันหนึ่งความจริงปรากฏ มันก็จะถูกบันทึกไว้ว่า ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2553 มีประชาชนพูดความจริงแล้วถูกจับเข้าคุก ถ้าคนที่ลงมือทำเขายังมีชีวตอยู่ ผมก็อยากดูว่าเขาจะทำหน้ายังไง เหมือนกับวันนี้ มีใครสักคนมั๊ยที่กล้าบอกอย่างภูมิใจว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผมเองนี่แหละที่ผูกคอนักศึกษาที่ต้นมะขาม ผมเองนี่แหละที่เอาเก้าอี้ฟาดศพนักศึกษา ผมเองนี่แหละที่เอายางรถยนต์เผานักศึกษา มีใครกล้าพูดมั๊ย

ผมถามเจ้าหน้าที่คนนั้นว่าอ้าวหัวหน้าไม่ว่าอะไรเหรอ เขาก็บอกว่าไม่ว่าอะไรเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว เขาบอกให้ผมรอที่ห้องนี้ เขาถามว่ากินอะไรมั๊ย ผมบอกว่าก็ดี เพราะผมรู้สึกหิว เขาถามว่าเอาอะไรดี ผมบอกอะไรก็ได้ งั้นสั่งแมคนะเจ้าหน้าที่นายนั้นบอก ผมก็เลยบอกว่างั้นผมเอาชีสเบอร์เกอร์ก็แล้วกัน เขาออกจากห้องไป
ผม มองไปรอบห้องก็เหมือนห้องสำนักงานทั่วไป มีโต๊ะทำงานเรียงกันเป็นแถวชิดผนัง แต่เมื่อหันกลับมามองอีกด้าน ที่ผนังมีผ้าแถบสีแดงเขียนว่า “ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน” ติดอยู่ ผมรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาในห้อง สี่ห้าคน มีคนใหม่เข้ามาเพิ่ม ดูท่าทางเป็นเซียนคอมพิวเตอร์เพราะเขาจัดการเปิดคอมฯให้ผมเพื่อให้เข้าไปที่ เว็บประชาไท แต่ก็ขำดี ก็ตอนนี้ ICT มันบล๊อกเว็บอยู่เลยเข้าไม่ได้ ผมก็ถามเขาว่าไม่มีโปรแกรมทะลวงเว็บเหรอ DSI น่าจะมีดิ เขาก็ถามผมว่าผมเข้ายังไง ผมก็บอกของผมเครื่องแมคมันมีโปรแกรมอันนึงเข้าได้ แต่พีซีนี่ผมไม่รู้ผมไม่เคยใช้เครื่องพีซี แต่บางทีถึงมีโปรแกรมก็เข้าไม่ได้เพราะช่วงนี้เขาบล๊อกอย่างแน่นหนา คุณก็น่าจะรู้

พวกเขาก็พยายามกันใหญ่อยู่พักนึง สุดท้าย เขาเลยบอกงั้นไปอีกห้องนึงดีกว่า เครื่องห้องนี้โดนบล๊อกไว้และไม่มีโปรแกรมทะลวง เขาเลยพาผมไปอีกห้องหนึ่ง คราวนี้เข้าได้ เขาเลยให้ผมลองล๊อคอินเข้าไปในประชาไทให้ดู จริงๆเขาก็รู้หมดละครับว่าผมล๊อคอินอะไร และพาสเวิร์ดอะไร เพราะตัวหัวหน้าบอกผมเองว่าพาสเวิร์ดคุณนี่โคตรยากเลยตั้งสิบตัวกว่าจะแกะ ได้

จากนั้นเขาก็บอกให้เข้าไปที่เว็บฟ้าเดียวกัน ผมบอกไม่มีแล้วครับฟ้าเดียวกันเขาเปลี่ยนเป็นคนเหมือนกันแล้ว เขาก็ให้ผมเข้าแต่ผมก็เข้าไม่ได้ เขาถามว่าพาสเวิร์ดอะไร ผมบอกก็พาสเวิร์ดเดียวกันเพราะผมขี้เกียจจำ ผมพยายามเท่าไหร่ก็เข้าไม่ได้ แต่จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตอนนั้นเลย เพราะ ICT มันขยันบล๊อคแล้วไม่รู้มันบล๊อคยังไงบางทีก็ล็อคอินเข้าไม่ได้ หลายคนคงจำได้ว่าช่วงนั้นเว็บเดี้ยงเป็นแถว หรืออาจจะเป็นว่า…ผมนึกขึ้นมาได้ ผมเลยบอกว่าสงสัยข่าวเรื่องผมโดนจับรั่วแล้วมั้งครับ อาจจะมีใครรู้แล้วลบผมออกแล้วก็ได้

ตัวหัวหน้าเหมือนโดนจี้ใจดำ เขาบอกว่าไม่มีไม่มีทางที่ข่าวจะรั่วได้ พูดเสร็จก็หุนหันออกไป ตัวคนที่ดูเซียนๆเรื่องคอมฯก็บอกไหนลองอีกที ผมลองหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ เขาเลยบอกว่าเออสงสัยโดนลบออกไปแล้ว ไหนลองเข้าประชาไทอีกทีซิ คราวนี้ผมกลับมาลองประชาไท ปรากฏว่าประชาไทท่ีเมื่อกี้เข้าได้ คราวนี้ก็เข้าไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าทีรายนี้เลยสรุปว่า โอเคพอแล้ว เข้าไม่ได้แล้วละโดนลบออกจากสมาชิกแล้ว

จังหวะนั้นตัวหัวหน้าก็โผล่เข้ามาอีกทีด้วยอาการฉุนๆ ถามผมว่าผมได้บอกใครหรือเปล่าว่าโดนจับ ผมบอกเปล่าไม่ได้บอกใคร เขาบอกไม่ได้บอกใครแล้วทำไมมีคนรู้ นี่ไง มีคนตั้งกระทู้ที่ประชาไท เขาบอกว่าตั้งมาจากออฟฟิสอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้แล้ว แต่นั่นหมายความว่า ที่ DSI สามารถรู้ได้ในทันทีว่าในประชาไท ใครตั้งกระทู้ตอบกระทู้มาจากไหน !

แถมก่อนหน้านี้ตำรวจที่ดูเซิยนๆเรื่องคอมฯก็บอกผมว่า ที่นี่เขารู้ตั้งนานแล้วว่าใครคือปรวย ซึ่งนั่นก็สอดคล้องกับที่ตัวหัวหน้าบอกกับผมว่าเขาตามดูผมมานานแล้ว ไปเฝ้าทั้งที่ออฟฟิส ทั้งที่แถวบ้าน ผมนึกในใจโอช่างขยันกันจริงๆ แล้วนี่ถ้าเกิดไม่มีกฎหมายหมิ่นฯแล้ว คนไม่ล้นงานเหรอนี่

จากนั้นเขาก็พาผมกลับไปที่ห้องเดิม ชีสเบอร์เกอร์ก็มารอท่าแล้ว เขาให้เวลาผมกินอาหารก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวจะเริ่มสอบสวน ผมกินไม่ได้มากเท่าไหร่ด้วยใจจะรีบทำให้จบๆ เหมือนกับว่ามามะ เดี๋ยวเราจะขึ้นสังเวียนกันแล้ว
กินเสร็จเขาก็เริ่มสอบสวนผม โดยมีตำรวจ 4-5 นายนั่งรายล้อมผม และก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนสองคนนั่งในห้องนั้นด้วย

เจ้าหน้าที่ที่ชอบทำหน้ามึนๆ ก็เริ่มถามผม โดยรวมก็ถามว่า ล๊อคอินที่ผมใช้นี่ใช้กี่คน รู้จักใครในเว็บบ้าง ผมเป็นเว็บมาสเตอร์หรือเปล่า ผมมีหน้าที่อะไรในเว็บ ซึ่งการสอบสวนแบบนี้ก็มองได้สองอย่าง หนึ่งอยากรู้ว่าเรามีขบวนการหรือเปล่า สองถามเพื่อให้มัดว่าล๊อคอินนี้เป็นเราแน่นอนไม่ผิดตัว ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ผมตั้งใจว่าจะพูดความจริง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะถามเพื่อจุดประสงค์อะไรผมก็พูดความจริง ผมบอกล๊อคอินผมเองแหละไม่ได้ใช้ร่วมกับใครและผมเป็นแค่สมาชิก ก็จบเรื่องเทคนิคไป

คราวนี้มาเรื่องแนวคิด ก่อนจะเริ่มเจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรก็เอาแฟ้มหนาปึกมาเปิดเอกสารที่เขา ปริ้นท์ข้อความที่ผมโพสไว้ที่คนเหมือนกัน มันเป็นรูปลายเซ็นต์ผมในคนเเหมือนกัน ตัวหัวหน้าก็ถามเลย รูปนี้คุณโพสใช่มั๊ย ผมยิ้มเลย รูปนี้แน่ๆที่ตัวหัวหน้าถามผมในรถว่าคุณไปโพสรูปอะไรไว้ ผมเลยถามกลับว่าแปลกอะไรครับ ผิดกฏหมายด้วยเหรอครับ รูป คมช เข้าเฝ้าในหลวงมีใครในประเทศนี้ไม่เคยเห็นหรือครับ แกก็ไม่ว่าอะไร แต่ถามต่อแล้วนี่ข้อความนี้ของคุณใช่มั๊ย ผมบอกใช่ครับ ก็มันเรื่องจริงหรือเปล่าละครับ ถ้าไม่มีในหลวงคนทำรัฐประหารก็ไม่รู้จะเข้าเฝ้าใครตอนทำรัฐประหาร นี่มีในหลวงก็ทำให้พวกเขาอุ่นใจ จริงหรือเปล่าครับ ไม่มีใครตอบอะไร

เขา ยังคงเปิดแฟ้มต่อไป มีอันนึงตั้งแต่ปี 2551 แล้วถามผมว่าอันนี้ผมโพสหรือเปล่า ผมบอกว่าโห..นั่นมันตั้งแต่ปี 51 ผมจะจำได้ยังไงละครับ แต่ว่านี่ชื่อผมแน่ ปรวย salty head แต่จะให้ผมยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านี่ผมโพส ผมยืนยันไม่ได้หรอกครับ เอาละพอแล้วเขาบอก จากนั้นเขาก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อตรงแผ่นที่มีรูป คมช เข้าเฝ้าในหลวง

จากนั้นตัวหัวหน้า ก็เริ่มถามผมว่า ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่า ทำไมคุณถึงคิดว่าสถาบันไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมแทบขำกับคำถามนี้ แต่ก็เหมือนเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนฟัง อย่างน้อยก็ 5-6 คนในห้องนี้แหละน่า

ผมบอกว่า ผมไม่ได้คิดเองเลยครับ ไม่ใช่อยู่ๆผมก็มานั่งคิดเองว่าสถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งกับการเมือง ผมอ่านข่าวครับ ไอ้ข้อมูลที่ผมได้มาก็ไม่ได้ลึกลับพิสดาร หรือมีใครป้อนมาจากใต้ดินที่ไหนหรอกครับ ถ้าท่านอ่านข่าวและจำแม่น วิเคราะห์หาเหตุหาผลเป็น ไม่อคติ ยอมรับความจริง ท่านก็จะคิดแบบผมนี่แหละครับ ผมเริ่มเดินเครื่องด้วยการเกริ่นไปแบบนี้

ตัวหัวหน้าบอกเอ้าไหนว่ามาซิ ไหนในหลวงท่านไปยุ่งยังไง ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมจะเอาข้อมูลนี้ไปเขียนผลวิจัยว่าพวกนี้เขาคิดกันยังไง

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนไฟมันถูกจุดติดในตัวผมแล้วครับ ประหนึ่งว่าผมยืนพูดอยู่กลางสนามหลวงก็ไม่ปาน

ท่านจำได้มั๊ยครับ ปี 2549 เมื่อเดือนเมษามีเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองลงเลือกตั้งหลายพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคฝ่ายค้านไม่ลงเลือกตั้ง การเลือกตั้งติดขัดเพราะบางเขตคนลงคะแนนไม่พอ ในหลวงท่านออกมาตรัสว่ายังไงจำได้หรือเปล่าครับ

ตอนนี้เจ้าหน้าที่ในนั้นทำมึนกันหลายคน ถามว่าท่านพูดกับใคร
ผมเลยเล่าต่อ ท่านพูดกับผู้พิพากษาไงครับ ท่านปรึกษาว่ามีทางทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้มั๊ย

การ เลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่มีพรรคเล็กพรรคน้อยลงเลือกตั้งอีกตั้งหลายพรรค พวกนั้นเขาไม่ใช่คนไทยเหรอครับ แล้วท่านเป็นตำรวจท่านไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่า การจะตัดสินอะไรมันต้องมีการสอบสวนตามขบวนการ แล้วจึงตัดสินไปตามขั้นตอน แต่นี่ไม่กี่วัน ศาลรวมหัวกันออกมา
บอกว่าให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มันไม่ผิดปกติหรือครับ รวมทั้งเอาท่านวาสนาไปติดคุก ท่านเป็นตำรวจเหมือนกันไม่รู้สึกอะไรหรือครับ

แล้วไงต่อ เสียงเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นเขี่ยไฟในตัวผม
แล้วไงครับ วันรัฐประหาร นายทหารที่เข้าเฝ้ากำลังทำผิดกฏหมายอาญามาตรา 113 ท่านเป็นตำรวจท่านรู้ใช่มั๊ยครับ ผมถามต่อว่า กฎหมายอาญามาตรานี้ยังใช้อยู่หรือเปล่าครับ แล้วการรัฐประหารนี่เป็นประชาธิปไตยหรือครับ มันไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ทำไมท่านไม่ตรัสอะไรบ้างครับ ทำไมกล้าตรัสว่าการเลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นโมฆะได้มั๊ย แต่ไม่กล้าตรัสว่าการทำรัฐประหาร

ไม่เป็นประชาธิปไตยบ้างละครับ

เงียบไม่มีใครตอบอะไร

เอ้า แล้วพระราชินีล่ะ มีคนนึงถาม

อันนี้ผมตอบแบบหัวเราะเลยครับ

โห ท่านเคยได้ยินวันตาสว่างแห่งชาติหรือเปล่าครับ แน่นอนตามระเบียบตำรวจต้องทำมึนไม่รู้จัก


งานศพน้องโบว์ไงครับ ผมเล่าต่อ น้องโบว์นี่ตายหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่มั๊ยครับ ตอนนั้นพวกพันธมิตรกำลังพยายามจะเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่มัียครับ แล้วในงานศพราชินีท่านตรัสว่า น้องโบว์เป็นเด็กดีช่วยชาติรักษาสถาบัน แบบนี้มันไม่ชัดหรือครับ แล้วยังจะคลิปที่สนธิ ลิ้มทองกุลพูดเองอีกว่าได้

รับของขวัญจากน้องสาวพระราชินี

มีเสียงนายตำรวจที่ทำหน้ามึนตลอดสวนขึ้นมาว่า พูดที่ไหน เมื่อไหร่

ผมตอบไปว่าไม่เคยเห็นคลิปนี้จริงๆหรือครับ เจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรรีบบอกว่า มีครับมี ผมเคยดู

ผมเลยได้ทีพูดต่อ นั่นไงครับ

แล้วไหนจะคดีพันธมิตรทียึดทำเนียบยึดสนามบินอีกไม่มีใครกล้าทำอะไร
ตัวหัวหน้ารีบบอกว่า ก็ไม่ให้ DSI ทำนี่ ถ้าให้ DSI ทำป่านนี้เสร็จไปแล้ว
จังหวะ นี้ผมจำได้แม่นเลย ผมหันขวับมาจ้องตาหัวหน้า แล้วถามว่า จริงหรือเปล่าครับ ท่านกล้าจับพันธมิตรจริงหรือเปล่าครับ ไม่มีเสียงตอบคงมีแต่เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของหัวหน้ากลับมาแทน

ผมร่ายต่อ คนไทยไม่โง่นะครับ เขาดูออกว่าทำไมมันถึงสองมาตราฐาน ฝ่ายนึงโดนไล่ล่า ฝ่ายนึงทำผิดยังไงก็ได้ ไม่มีใครทำอะไร คนไทยรับรู้เรื่องแบบนี้ได้ง่ายครับ เพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวัน

แท๊กซี่ขับรถฝ่าไฟแดงตำรวจจับ แต่ถ้ารถเบนซ์ขับฝ่าไฟแดงตำรวจไม่จับ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะตำรวจกลัวรถเบนซ์ครับ แต่เพราะตำรวจรู้ว่าเบื้องหลังรถเบนซ์นั้นจะมีคนที่เส้นใหญ่อยู่

เหมือนกันครับตำรวจไม่จับพันธมิตรเพราะอะไร คนก็รู้ครับ คนรู้ว่าเบื้องหลังพันธมิตรนั้นมีคนสนับสนุนอยู่ และก็ใหญ่พอที่ตำรวจทหารจะไม่กล้าทำอะไร
ผมยกตัวอย่างนี้ไปได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยครับมันออกไปเองโดยอัติโนมัติ

ที่พูดมาอันนั้นมันก็นานแล้ว แล้วตอนนี้ละท่านยุ่งยังไง

ทหารที่ยิงประชาชนตายนี่ทหารหน่วยไหนครับ?

ทหารที่ส่งมาอารักขาอภิสิทธิ์นี่ทหารหน่วยไหนครับ?

วันก่อนมีรูปลงในเว็บ เห็นคุณหญิงจรุงจิตต์ ไปนั่งไปนั่งในราบ 11 ไปทำไมครับ?

อันนั้นรูปตัดต่อได้มั๊ย หัวหน้าแย้ง

ไม่น่าครับ ใครจะถ่ายรูปด้านหลังเก็บไว้แล้วเอาไปตัดต่อครับ ฯลฯ

สบายใจมั๊ยได้พูดหมดแล้ว หัวหน้าคนนั้นถามผม

ผมบอกก็ดีครับ เพราะผมก็ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับใคร

แต่ยังไงมันก็ผิดกฏหมายนะ คุณรู้ใช่มั๊ย ยังไงประเทศนึงมันต้องมีสถาบันหลักเป็นหลักของประเทศ

ผมถามว่าแล้วจะเป็นหลักได้ไงครับ เมื่อไม่ยุติธรรม จะสงบสุขปรองดองได้มันต้องยุติธรรมก่อน

ตอนนี้เหมือนผมขึ้นธรรมาสน์เลย

ผมแปลกใจประเทศเราเป็นเมืองพุทธซะเปล่า ปากก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้หลักเหตุและผล พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าทุกข์ให้ดับที่เหตุ คุณไม่อยากให้คนวิจารณ์สถาบันแต่ปล่อยให้สถาบันลงมายุ่งการเมือง ปล่อยให้อีกฝ่ายเอามาอ้างทำลายอีกฝ่าย แล้วคุณมาไล่จับคนวิจารณ์ ผมถามว่ามันจะหมดมั๊ยครับ คุณจะจับหมดมั๊ยครับ

แต่ว่าคุณไปโพสยังงั้นมันก็ผิด คือคุณเข้าใจมั๊ยว่ามันมีกฎหมายอยู่ เอางี้ซิคุณได้พูดแบบนี้แล้วคุณสบายใจ ตอนหลังก็ไม่ต้องไปโพส ก็ไปพูดกับเพื่อนอะไรไป

เพื่อนผมแม่งเหลืองหมด ผมบอก ผมไม่รู้จะไปพูดกับใคร แต่จริงแล้วมันก็ไม่เกี่ยวครับ คือผมนี้ไม่มีส่วนได้เสียกับวิกฤตินี่เลย ท่านไปบ้านผมก็เห็นแล้ว ผมนี่โคตรชนชั้นกลางเลย ชีวิตถ้าไม่มายุ่งกับเรื่องนี้ก็โคตรสบายเลย ทำงานมีเงินใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลาง สบาย มีตังค์ก็ไปกินเหล้า เที่ยวผับ ตีหม้อ เลี้ยงเด็ก ช้อปปิ้ง รากหญ้า ชาวบ้านจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องสนใจ เพราะกูเป็นชนชั้นกลาง เอามั๊ยละ ท่านอยากให้พลเมืองของประเทศเป็นแบบนั้นหรือเปล่าเอามั๊ยละ ให้พลเมืองของประเทศไม่ต้องสนใจบ้านเมือง หาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว เอามั๊ย ผมประชด

นายตำรวจที่ทำมึนๆมาตลอดบอกว่า เออ คุณมีความคิดดีนะ
แต่ผมรู้เลยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ “แต่มันก็ผิดกฏหมาย” เขาไม่ได้พูดหรอก แต่ผมรู้ว่าเขาคิดแบบนั้น

คือผมเข้าใจพวกเขาเลย ไม่ได้ว่าอะไรเลยที่ไปจับผม เพราะที่ฟังเขาพูดมาสองสามเที่ยว ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าอะไรมันเป็นยังไง แต่สุดท้ายก็เข้าที่เดิมยังไงมันก็ผิดกฏหมาย

เพราะผมได้ยินคำพูดนี้มา ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ในวันที่พวกเขามาจับผม เมื่อผมพูดอะไร เขาก็จะอ้างอย่างเดียวว่า “แต่ว่า…ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย”

หลังจากสอบสวนเสร็จ เขาก็ปล่อยผมกลับบ้าน บอกว่าให้รอหมายเรียก แล้วก็เดี๋ยวจะโทรบอกให้มาเอาคอมฯคืนไปหลังจากได้ทำการ copy ทุกอย่างจากคอมฯผมและคอมฯน้องสาวไว้หมดแล้ว

หลังจากนั้น อาทิตย์ต่อมาเขาก็เรียกให้ไปเอาคอมฯคืน ต่อมาก็ให้ไปเอาฮาร์ดิสก์คืน รวมทั้งหนังสือท่านปรีดีด้วย

มีวันนึงที่ผมไปเอาฮาร์ดิสคืน เจ้าหน้าที่หนุ่มๆนายนึง ที่ผมดูว่ายังไม่มีตำแหน่งสูงนักเดินมาส่งผมที่ลิฟท์ ระหว่างรอลิฟท์ผมก็เลยคุยกับเขา ผมบอกว่าดีนะทำงานที่นี้ไม่ต้องใส่ชุดตำรวจ เขาบอกก็ดีครับ แต่งเหมือนพนักงานออฟฟิส แต่ผมชอบใส่เสื้อโปโล แต่มีปัก DSI ไปไหนช่วงนี้ก็ต้องระวังหน่อย

นี่ทำงานแบบนี้ต้องนั่งเฝ้าหน้าคอมฯทั้งวันเลยซิผมถามเขา ผมรู้เพราะวันที่ผมพยายามเข้าเว็บไม่ได้ ก็มีตำรวจนายอื่นแซวเจ้าหน้าที่หนุ่มคนนี้ว่า ให้ไอ้นี่เข้าดิมันนั่งอ่านทั้งวันแหละ เขาตอบครับก็นั่งอ่านเว็บดูทั้งวันแหละครับ

เสียงลิฟท์มาพอดี ผมขยับจะเดินเข้าลิฟท์ เขาก็เดินตามมาและก่อนผมจะทันเข้าไปในลิฟท์ เขาก็พูดกับผมว่า ผมอ่านแล้วผมก็ชอบแนวคิดของพี่นะ แต่ว่า….ยังไงมันก็ผิดกฎหมาย
ผมหันไปมองหน้าเขา ไม่ตอบอะไร จนลิฟท์ปิดและเลื่อนลงมา

อืมม…คุณอยู่ในประเทศนี้ คุณพูดความจริงได้ แต่..ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย ทรงพระเจริญพะย่ะค่ะ

หลังเหตุการณ์ที่ผมโดนจับกุม ผมก็หยุดโพสไปเลย กะว่าจะใช้ชีวิตเงียบๆ แต่เมื่อติดตามข่าวเหล่านี้

บก.ลายจุด ไปผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์โดนจับ

นที สิวารี ไปยืนตะโกนที่ราชประสงค์โดนตำรวจนอกเครื่องแบบอุ้มไปขัง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็เถอะ

เด็กนักเรียนอายุ 16 ปี ไปยืนถือป้ายต้าน พรก. ที่เชียงราย ตกเย็นตำรวจไปค้นที่บ้าน โดนตำรวจเรียกไปสอบ

ผมคิดว่ามึงจะมากไปแล้ว ผมคิดว่าผมควรจะกลับยืนยันสิทธิของพลเมือง ว่าการเป็นพลเมืองของประเทศนี้ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก

หมายเหตุ
นี่เป็นเศษเสี้ยวหนึ่ง ของเหตุการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยวิธีธรรมดา ซึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่วิธีธรรมดาเช่นนี้ ในประเทศนี้ก็ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะเป็นปัญหาต่อประเทศที่มีคนมากกว่าหกสิบล้านคนยังไง

การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะเป็นอุปสรรคในการพยายามที่จะสร้างความปรองดองในประเทศยังไง

การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทำให้ประเทศนี้เดินบิดเบี้ยวมายังไงและจะเดินบิดเบี้ยวต่อไปยังไง

โปรดติดตามในโอกาสต่อไป โดยไม่ต้องระทึกในดวงหทัยพลัน เพราะซีรียส์เหล่านี้จะเป็นเรื่องยาว จนกว่าเสรีภาพและความเป็นธรรมจะปรากฏขึ้นในประเทศนี้

ขอความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ จงมีแด่เพื่อนผู้รักเสรีภาพและประชาธิปไตย และเพื่อนผู้มีจิตใจโอบอ้อมต่อคนที่มีความยากลำบากกว่าตน

สวัสดี
ปรวย salty head

ที่มา timeupthailand

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พิพากษา ‘ดา ตอร์ปิโด’ 15 ปี จำเลยไม่อุทธรณ์หลังถูกขัง 3 ปีครึ่ง

15 ธ.ค.54  ที่ศาลอาญา รัชดา ห้องพิจารณาคดี 801 เวลาประมาณ 9.40 น. ผู้พิพากษานั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีของนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเวลาราว 40 นาที หลังจากศาลอุทธรณ์สั่งยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและสั่งให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตี ความ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ต.ค.54 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการพิจารณาลับของศาลชั้นต้นไม่เป็นการขัดรัฐ ธรรมนูญ และมีการนัดอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาเป็นวันนี้ (15 ธ.ค.) เนื่องจากมีการโยกย้ายองค์คณะผู้พิพากษา

นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ นั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาระบุว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง เป็นความผิดในมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา จำเลยกระทำผิด 3 กรรม ให้ลงโทษทุกกรรม เป็นโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มีผู้สื่อข่าว ผู้สนใจร่วมฟังคดีนี้ประมาณ 20 คน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยห้องพิจารณาคดีเข้มงวดกว่าปกติ และมีเจ้าหน้าที่ในชุดปฏิบัติการพิเศษทำการควบคุมตัวจำเลยมายังห้องพิจารณาคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในครั้งแรกก่อนจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น สั่งลงโทษจำคุกไว้ 18 ปี โดยในคำฟ้องของอัยการระบุว่าจำเลยกระทำผิดโดยกล่าวปราศรัยที่สนามหลวง 3 ครั้งในวันที่ 7 มิ.ย.51, 13 มิ.ย.51 , 18-19 ก.ค.51 ทั้งนี้ เวทีดังกล่าวโดยเป็นการปราศรัยของกลุ่มประชาชนที่ก่อตัวขึ้นก่อนจะเกิด นปก.หรือ นปช. เป็นเวทีขนาดเล็กมีประชาชนร่วมฟังราว 40-50 คน ต่อมาวันที่ 22 ก.ค.51 เจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าจับกุมตัวดารณีที่ห้องพัก และควบคุมตัวไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางจนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับการประกันตัว

สำหรับคำบรรยายความผิดที่ผู้พิพากษาอ่านในครั้งนี้ สรุปความได้ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชนี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งจากการเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายได้ยืนยันตรงกันว่า จำเลยได้ขึ้นกล่าวปราศรัยโดยมีบางตอนที่เข้าข่ายผิดกฎหมายและมีการบันทึก เสียงไว้ พยานโจทก์ทั้ง 3 ทำการหาข่าว ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ไม่เคยรู้จักกับจำเลยและไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ประกอบกับแม้จะมีการนำส่งซีดีผิด แต่ในขณะพิจารณาคดีได้มีการนำส่งซีดีใหม่และศาลได้เปิดฟังต่อหน้าจำเลยทั้ง หมดแล้วซึ่งตรงกับเอกสาร [เอกสารถอดเทปจากการบันทึกเสียง-ประชาไท] แม้จำเลยจะบ่ายเบี่ยงว่าจำไม่ได้ว่าได้ปราศรัยอะไรไปบ้าง แต่จำเลยไม่ได้ปฏิเสธการขึ้นกล่าวปราศรัย ทั้งยังเบิกความเองว่าหลังการรัฐประหารจำเลยได้ขึ้นกล่าวปราศรัยอยู่โดยตลอด เจือสมกับการสืบพยานโจทก์
 
ประเด็นพิจารณาต่อมาคือ ข้อความดังกล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์หรือไม่ ซึ่งพยานโจทก์ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตำรวจและประชาชนทั่วไปต่างก็ยืนยันว่าเป็นการกล่าวเปรียบเทียบ เปรียบเปรย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินี ซึ่งพยานทั้งหมดไม่รู้จักและไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย อีกทั้งรัฐธรรมนูญระบุว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะ ล่วงละเมิดมิได้ ดังนั้นประชาชนจะใช้เสรีภาพไปล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์และพระราชินีไม่ได้ ทั้งยังมีหน้าที่ต้องรักษาสถาบันไว้คู่ประเทศ การมีผู้ใดกล่าวจาบจ้วงล่วงเกินเป็นสิ่งไม่พึงกระทำ การกล่าวปราศรัยในวันที่ 7 มิ.ย.51 มีการกล่าวถึงปลอกคอสีเหลือง สีน้ำเงิน และน้ำดื่มจิตรลดา ซึ่งแม้มิได้ระบุชื่อชัดแจ้ง แต่พฤติการณ์ที่กล่าวถ้อยคำเป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าต้องการสื่อว่าทั้ง สองพระองค์สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการกล่าวจาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินี ส่วนในการกล่าวปราศรัยวันที่ 13 มิ.ย.จำเลยปราศรัยถึง “มือที่มองไม่เห็น” เชื่อมโยงกับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกบิดเบือน รวมทั้งระบุว่าประเทศไทยมีสภาพเหมือนก่อนปี 2475 จำเลยจบการศึกษาระดับปริญญาโท และเป็นสื่อมวลชน ย่อมต้องทราบดีว่าการปกครองก่อนปี 2475 เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คำปราศรัยดังกล่าวสื่อว่าปัจจุบันประเทศไทยยังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิขาด อีกทั้งจำเลยเป็นสื่อมวลชนย่อมต้องทราบว่าการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะผู้ พิพากษาเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงบุคคลที่บ้านสี่เสาเทเวศที่เกี่ยวพันกับการรัฐ ประหาร ซึ่งแม้ไม่ได้ระบุชื่อจริงแต่จำเลยเป็นสื่อมวลชนย่อมต้องรู้ข้อเท็จจริงว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อาศัยที่บ้านสี่เสาเทเวศ และพยานโจทก์ได้เบิกความว่า พล.อ.เปรม ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี ดังนั้น คำว่า “มือที่มองไม่เห็น” จึงไม่ได้หมายถึง พล.อ.เปรมอย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง และแม้เป็นการเปรียบเปรยแต่ก็ทำให้ผู้ได้ยินรู้ว่าหมายถึงใคร นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงราชวงศ์ของญี่ปุ่น รัสเซีย และฝรั่งเศส โดยจำเลยใช้คำว่า  “ชนชั้นปกครอง” ซึ่งสื่อความหมายถึงสถาบันกษัตริย์

ผู้พิพากษาระบุอีกว่า แม้จำเลยจะเบิกความว่าไม่เจตนาจาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์ เพราะประเทศไทยอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ และต้องการปกป้องสถาบัน ไม่ให้ใครดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่จากการพิจารณาจากเนื้อหาการปราศัยทั้งหมด มิใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง จะเห็นว่าจำเลยกล่าวซ้ำหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำด้วยเจตนา ไม่ใช่พลั้งเผลอ จำเลยจึงกระทำผิดตามฟ้อง

ภายหลังการพิจารณาคดี ดารณี ให้สัมภาษณ์จากห้องขังของศาลอาญาว่าจะไม่อุทธรณ์คดี เนื่องจากประสบการณ์จากหลายๆ คดีทั้งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และคดียาเสพติดทั่วไปที่ได้เห็นจากในเรือนจำนั้น การต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใช้เวลายาวนานมาก หลายกรณีใช้เวลาเป็นสิบปี จึงตัดสินใจให้คดีสิ้นสุด เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ดารณีพยักหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ดารณีเพิ่งถูกย้ายกลับมายังทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 ธ.ค.) หลังจากถูกย้ายไปยังเรือนจำคลองไผ่จังหวัดนครราชสีมาในช่วงเกิดสถานการณ์น้ำ ท่วมเรือนจำ ซึ่งดารณีระบุว่า เรือนจำคลองไผ่ให้การดูแลผู้ต้องดีกว่าเรือนจำในกรุงเทพฯ ทั้งอาหารการกินและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง แม้อากาศจะหนาวมาก แต่ก็มีการประสานกับกาชาดสากลเพื่อจัดหาผ้าห่มให้อย่างเพียงพอ แต่ยังขาดแคลนเรื่องยารักษาโรค โดยดารณีไม่ได้รับยาแก้ปวดรักษาอาการขากรรไกรยึดติดตลอดสองสัปดาห์

ที่มา prachatai

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

38 ปี คดีแรกก่อการร้าย! ตัดสินจำคุกอดีตตำรวจยิงอาร์พีจีใส่กลาโหม

Tue, 2011-12-13 19:20

ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.- พ.ค.53 (ศปช.)


13 ธ.ค.54 ที่ศาลอาญา รัชดา ห้องพิจารณาคดี 803 ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2317/ 2553 คดีระหว่าง พนักงานอัยการ โจทก์ กับ นายบัณฑิต สิทธิทุม จำเลย ในข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ,สนับสนุนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติในการก่อการร้าย, ร่วมกันปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์, ร่วมกันใช้หรือครอบครองป้ายทะเบียนรถยนต์อันเป็นเอกสารราชการ, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันมีและครอบครองอาวุธปืน วัตถุระเบิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุ4ปืน พ.ศ.2490,พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องยุทธภัณฑ์ฯ

ทั้งนี้ คดีนี้เป็นกรณีที่มีข่าวคนร้ายใช้อาวุธอาร์พีจีหวังยิงใส่กระทรวงกลาโหมแต่พลาดเป้าถูกสายไฟและไปตกบริเวณถนนอัษฎางค์เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2553

โดยศาลตัดสินว่า แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ตามฟ้องเป็นของปลอม แต่จำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมกันปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ เนื่องจากในความผิดฐานนี้ โจทก์มีเพียงพยานที่มาเบิกความว่ามีชายไม่ทราบชื่อมาว่าจ้างให้ทำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำปลอมเอกสารแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จึงพิพากษายกฟ้องฐานปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์

นอกจากนี้แล้ว ศาลก็ได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ใช้หรือครอบครองแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม ในวันที่ 20 มีนาคม 2553 เนื่องจากในวันที่ 20 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนั้น โจทก์มีพยานเป็นผู้หญิงสองคน มาเบิกความว่า ในวันที่ เกิดเหตุ( 20 มีนาคม 2553) พยานโจทก์ทั้งสองคน อยู่ในซอยแพร่งนรา เห็นรถยนต์ตามคำฟ้อง มีชาย 2 คนนั่งรถยนต์มา และจำเลยได้ลงมาพูดคุยกับพยาน จึงเชื่อว่า พยานของโจทก์ทั้งสองปากเบิกความตามจริงไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน กอปรกับ หลังเกิดเหตุ 3 วัน พยาน 2 คน นี้ได้ไปชี้ภาพถ่ายจำเลย ได้แม่นจำ โดยมีการชี้ภาพถ่ายว่า เป็นจำเลยที่ขับรถเข้ามาในซอยด้วยความรวดเร็ว จึงเชื่อว่าเป็นจำเลย

ศาลได้วินิจฉัยว่า รถยนต์คันเกิดเหตุมีลายนิ้วมือแฝง ซึ่งตรวจเก็บจากประตูรถด้านซ้ายคนขับตรงกับลายนิ้วมือของบุคคลคนเดียวกัน อีกทั้งสารพันธุกรรมซึ่งตรวจพบอยู่พื้นที่ทางเท้ามีรูปแบบสารพันธุกรรมของจำเลยปะปนอยู่ด้วย ศาลจึงเชื่อว่านักนิติวิทยาศาสตร์ที่เป็นพยานโจทก์มาเบิกความเป็นพนักงานของรัฐ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งหักล้างได้ยาก กอปรกับจำเลยรับว่าเป็นคนซื้อซิมการ์ด ซึ่งเป็นหมายเลขซิมการ์ดที่หล่นอยู่ในรถยนต์คันเกิดเหตุ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ครอบครองและใช้รถยนต์ตามฟ้อง จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมซึ่งเป็นเอกสารราชการ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม

ประเด็นต่อมาศาลได้วินิจฉัยว่า จำเลยร่วมกันยิงปืนในเมืองไปยังกระทรวงกลาโหม จนเป็นเหตุให้นายศักดิ์ หาญสงคราม ได้รับอันตรายแก่กาย และเป็นเหตุทำให้ทรัพย์ของบริษัททีโอทีฯ ได้รับความเสียหาย เนื่องจากโจทก์มี เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพยานว่า ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ซีซีทีวี เมื่อเวลา 22.18 น.ของวันที่ 20 มีนาคม 2553 พบมีรถยนต์เลี้ยวเข้าซอยที่เกิดเหตุ และพบเปลวเพลิง เหตุระเบิดเกิดขึ้นน่าจะเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับรถที่เลี้ยวเข้าในซอยที่เกิดเหตุ และโจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบ เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี จำนวน 1 กระบอก ซึ่งมีรัศมีในการยิงระยะไกล 800 เมตร พยานที่เบิกความล้วนเป็นเจ้าพนักงานรัฐไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุ และพบรถยนต์ตามฟ้องทิ้งไว้มีกุญแจเสียบคาทิ้งไว้ และเป็นรถยนต์ที่เลี้ยวเข้าซอยเกิดเหตุ จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 โดยมีความมุ่งหมายที่จะยิงไปที่กระทรวงกลาโหม จึงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ซึ่งเหตุระเบิดนั้นทำให้นายศักดิ์ หาญสงครามได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย และการยิง อาร์พีจี 2 นั้นเป็นเหตุให้สายเคเบิ้ล โทรศัพท์ของบมจ.ทีโอทีได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์

นอกจากนี้แล้ว ศาลได้วินิจฉัยว่า เมื่อฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถขณะเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และรัฐบาลได้ประกาศพ.ร.ก. เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองมีความไม่สงบ โดยนปช.เริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 และนปช.ทำการปิดถนน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่สงบ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายตามมาตรา 135/1 (1),มาตรา 83

คดีนี้ถือเป็นคดีร่วมกันก่อการร้ายคดีแรกที่ศาลตัดสินลงโทษ แต่ทั้งนี้ ศาลได้ยกฟ้องจำเลยข้อหา ฐานสนับสนุนการก่อการร้าย เนื่องจากมีพยานโจทก์เพียงปากเดียวมาเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถให้แก่นางจุรีรัตน์ สินธุไพร ซึ่งเป็นแกนนำ นปช. แต่โจทก์ก็ไม่มีพยานอื่นใดมาเบิกความว่า กลุ่มแนวร่วมนปช.เป็นกลุ่มก่อการร้าย จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการ กลุ่มนปช.ในการกระทำการก่อการร้าย

นอกจากนี้แล้ว ในรถคันเกิดเหตุมีการตรวจรถยนต์พบ เครื่องยิงจรวด อาร์พีจี 2 ,ระเบิดสังหาร,ปืนกล จึงพิพากษาว่าจำเลยร่วมกันมี ปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง ลูกระเบิดไว้ในความครอบครอง

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม) จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันก่อการร้ายตามมาตรา 135/1(1) จำคุก 20 ปี ,ฐานร่วมกันใช้และครอบครองเครื่องยิงจรวดจำคุก 5 ปี,ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิด จำคุก 5 ปี ,ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนกลมือ จำคุก 5 ปี ,ฐานร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร จำคุก 1 ปี ตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 แต่ยกฟ้องความผิดตามพ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530และสนับสนุนนปช.ในการก่อการร้าย รวมจำคุก 38 ปี

ในการอ่านคำตัดสินในวันนี้ ทางจำเลยมีเพียง ทนายความจำเลย และญาติของจำเลยมาร่วมฟังคำตัดสินเท่านั้น แต่ไม่มีแกนนำนปช.หรือผู้ใดเข้าร่วมฟังด้วย

หลังจากทราบคำพิพากษานายบัณฑิต สิทธิทุมได้กล่าวว่า วันนี้ ขณะที่ศาลได้ตัดสินคดีเขา เขาอยู่ในห้องพิจารณาเดียวกับกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาอยากให้ศาลตัดสินให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ติดคุก ในข้อหา สั่งฆ่าประชาชน และเขารู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างยิ่ง พร้อมทั้งยืนยันว่าเขาคือแพะ

นายจันทร์ เขาน้อย ทนายความของนายบัณฑิต สิทธิทุม ได้เปิดเผยหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาว่า คดีนี้ อัยการกล่าวฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันกับผู้อื่นในการกระทำความผิดต่างๆ แต่ปรากฏว่า จากการสืบพยานไม่ปรากฏเลยว่า จำเลยร่วมกันกับใคร อีกทั้งก่อนหน้านี้ นายโก้ หรือศุภณัฐ หุลเวช ซึ่งเป็นคนถูกจับได้ก่อนหน้าจำเลยในข้อหาว่ายิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม แต่ปรากฏในเวลาต่อมาว่าเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวนาย โก้ หรือศุภณัฐ ไป นอกจากนี้แล้ว ศาลไม่ได้หยิบยกเอาประเด็นที่ว่าพยานโจทก์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความยอมรับว่า พยานโจทก์ที่เป็นหญิงสาวสองคนซึ่งเป็นบุคคลที่ยืนยันว่าจำหน้าจำเลยได้เป็นหญิงบริการมาวินิจฉัยถึงความน่าเชื่อถือและน้ำหนัก อีกทั้งศาลไม่ได้หยิบยกเอาประเด็นที่ทางทนายจำเลยคัดค้านว่า ขณะที่ทำการสืบพยานโจทก์ ปรากฏว่า พยานโจทก์ที่จะเบิกความบางคนนั้นได้นั่งฟังพยานโจทก์บางคนเบิกความด้วยและได้เข้าเบิกความต่อในภายหลัง ซึ่งเป็นการผิดระเบียบวิธีพิจารณาความอาญาในข้อที่ว่า ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่จะเบิกความภายหลัง

ทนายความระบุว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษา ภายใน 30 วัน โดยมีข้ออุทธรณ์ที่สำคัญว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ในวันเกิดเหตุหรือไม่ และอยากให้มีคนมาช่วยจำเลยในเรื่องการประกันตัว

ที่มา prachatai

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รายงาน : “เขาหาว่า ผมยิงอาร์พีจี (ใส่กลาโหม)”

Mon, 2011-12-12 15:23

ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.- พ.ค.53 (ศปช.)


บัณฑิต สิทธิทุม เกิดเมื่อพ.ศ. 2510 บ้านเดิมอยู่ที่ อ.พล จ.ขอนแก่น จบการศึกษาที่ โรงเรียนตำรวจภูธร 2 จังหวัดชลบุรี ออกจากราชการประมาณปี 2545 เนื่องจากกระทำความผิดฐาน พ.ร.บ.ป่าไม้ มีลูก 3 คน ลูกชายคนเล็กอายุ 12 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บางแสน ชลบุรี

เขาถูกจับกุม เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 18.30 น.ในบ้านพักอาศัยที่บางแสน

เขาเล่าว่า ขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมมีเจ้าหน้าที่ร่วมจับประมาณ 20 นาย อาวุธครบมือ หลังจากบุกเข้าจับที่บ้านพัก ตำรวจก็ค้นบ้านประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นก็นำตัวเขาไปขัง โดยเริ่มแรกยังไม่ได้ผูกตาเขา แต่เมื่อคุมตัวมาถึงย่านบางนา เขาถูกเจ้าหน้าที่นำผ้ามาปิดตา

ต่อมาเมื่อเขาถูกเปิดผ้าปิดตาออกเขาจึงรู้ตัวว่าเขาถูกจับนำตัวมาที่ร้านคาราโอเกะ โดยเจ้าหน้าที่ได้สอบถามเขาว่า ใครเป็นคนจ้างให้เขายิงระเบิด และถามว่าบิ๊กจิ๋วใช่หรือไม่

เขาเล่าว่าเขาถูกเจ้าหน้าสอบถามมากมาย พร้อมทั้งข่มขู่เขาว่าถ้าไม่ตอบ ไม่บอกความจริง จะเอาไปให้ทหารยิง ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำตัวเขาไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นย่านรามอินทรา จากนั้นจึงนำตัวมาที่กองปราบฯ

คุณน้ำฝน ภริยาของบัณฑิต เล่าว่าหลังจากถูกจับกุมแล้ว เธอไม่ได้รับการติดต่อจากบัณฑิตเลยและไม่รู้ว่าจะไปติดต่อที่ไหน หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน เห็นข่าวว่าคนเสื้อแดงถูกจับไปไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เธอจึงโทรศัพท์ไปสอบถามจึงทราบว่าสามีของเธอถูกขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วจึงได้เดินทางมาเยี่ยมบัณฑิต

ในชั้นจับกุมเจ้าหน้าที่แจ้งว่า เขาเป็นคนยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมเมื่อเดือนมีนาคม 2553 และครอบครองอาร์พีจีและอาวุธสงครามอื่นๆ เช่น ปืนกล ระเบิด รวมทั้งปลอมทะเบียนรถ เขากล่าวว่าเขาได้รับสารภาพไปแล้ว และเหตุที่เขารับสารภาพเนื่องจากเจ้าหน้าที่ข่มขู่ว่าจะเอาไปให้ทหารและเอาไปยิงทิ้ง

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2553 อัยการได้ยื่นฟ้องโดยระบุว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2553 เขาร่วมกันกับคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ใช้เครื่องยิงอาร์พีจียิงใส่กระทรวงกลาโหมเพื่อข่มขู่ให้รัฐบาลไทยอันมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ให้ประกาศยุบสภาตามความประสงค์ของจำเลยกับพวก อันเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปกครองระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนอันเป็นการก่อการร้าย

นอกจากข้อหาก่อการร้ายและสนับสนุนก่อการร้ายแล้ว บัณฑิตยังถูกฟ้องด้วยข้อหาอื่นด้วย โดยมีข้อหา ครอบครองเครื่องยิงจรวดอาร์พีจีจำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนอาร์พีจีจำนวน 1 นัด ครอบครองลูกระเบิดเครื่องชนิดสังหาร แบบ 88 เอ็ม 67 จำนวน 3 ลูกไว้ในครอบครอง อันเป็นการสนับสนุนการก่อการร้ายของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ร่วมกันมีอาวุธปืนกลมือขนาด .45 จำนวน 1 กระบอกกับซองกระสุนปืน 1 อัน ไว้ในความครอบครองร่วมกันมีกระสุนปืน ออโตเมติกขนาด .45 จำนวน 48 นัดไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และระเบิดไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันปลอมทะเบียนป้ายทะเบียนรถและใช้ป้ายทะเบียนรถปลอม

บัณฑิตเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เขาถูกย้ายเรือนจำไปหลายแห่ง เนื่องจากพยานบุคคลอยู่ต่างจังหวัด โดยเขาถูกย้ายไปที่เรือนจำสงขลา เรือนจำพัทยา เรือนจำชลบุรี แต่ละครั้งที่เขาย้ายไปนั้นประสบความลำบากมาก เนื่องจากไม่มีเงินติดตัวไปเลย ส่วนญาติก็ไม่ได้ตามไปเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อไปเรือนจำทางภาคใต้

ในด้านการสืบพยานโจทก์ที่ศาลอาญานั้น มีพนักงานสอบสวนจากดีเอสไอ พ.ต.ท.สมชาย ขำล้อมเพชร มาเบิกความว่า ขณะทำการสอบสวนรับราชการอยู่ที่ สน.พลับพลาไชย 1 ตำแหน่งพนักงานสอบสวน ผู้ชำนาญการและได้รับคำสั่งให้เป็นพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ

โดยเขาเบิกความว่า ประมาณปลายปี 2552 นปช.ได้ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและมีการชุมนุมและได้ก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการหลายแห่งจนนำไปสู่การประกาศพื้นที่ห้ามชุมนุมตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 โดยห้ามชุมนุมที่กทม.และปริมณฑล

ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 ภายหลังมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง มีการชุมนุมโดย นปช.ได้ตั้งเวทีใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้าและปิดถนนตั้งแต่แยกมิกสิกาวันจนถึงแยกผ่านฟ้าถึงเชิงสะพานปิ่นเกล้าทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้เส้นทางและทำให้ประชาชนเดือดร้อน มีวัตถุประสงค์เรียกร้องครั้งนี้ให้นายกฯยุบสภา โดย นปช.ได้วางแผนเป็นขั้นตอนในการปลุกระดมมวลชนขับเคลื่อนไปสู่ความขัดแย้ง ปลุกปั่นบิดเบือนความจริง ยุยงส่งเสริมด้วยคำพูดรุนแรงก้าวร้าวเพื่อสร้างความปมขัดแย้ง อาฆาตมาดร้าย ให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล จนนำไปสู่ความรุนแรงซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย ในการชุนนุม นปช.มีการสะสมอาวุธและกำลังพล และมีการก่อวินาศกรรมควบคู่ไปกับการชุมนุมประท้วงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติซึ่งทำให้ประขาชนหวาดกลัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นายกฯยุบสภา

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2553 มีคนร้ายเป็นชายสองคน ได้ใช้เครื่องยิงอาร์พีจีไปยังที่กระทรวงกลาโหมแต่จรวดยิงไปถูกสายไฟที่ ถ.อัษฎางค์ ฝั่งตรงข้ามกระทรวงกลาโหมทำให้จรวดไม่ตกตามเป้าหมาย การระเบิดทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมีผู้บาดเจ็บ

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีผู้พบเห็นคนร้ายชายสองคนขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ ที่ซอยแพร่งนรา ผ่านมาและจอดรถรถแวะทักทายพูดคุยกับพยานที่ซอยแพร่งนรา หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นที่ปากซอยแพร่งภูธร

ต่อมามีผู้พบเห็นคนร้ายทั้งสองขับรถไปทิ้งไว้ที่โรงแรมที่อยู่ข้างศาลเจ้าพ่อเสือและคนร้ายทั้งสองลงจากรถและรีบเดินหนีไป พยานที่พบเห็นคนร้ายที่จอดรถเดินหนีไปเป็นผู้หญิง 2 คน โดยคนทั้งสองได้เห็นหน้าคนร้ายที่นั่งคู่คนขับ พยานทั้งสองคนได้ไปให้ปากคำที่ สน.สำราญราษฎร์พร้อมกับพยานอีก 3 คนที่เห็นคนร้ายทั้งสองก่อนเกิดเหตุ

เมื่อไปดูสถานที่เกิดเหตุพบว่า สภาพรถยนต์กระจกรถด้านซ้ายแตกและกระจกด้านขวา(แคป)แตก ภายในรถพบเครื่องยิงอาร์พีจี ระเบิด 3 ลูก อาวุธปืนกล พบเสื้อผ้าพร้อมกระเป๋าเอกสารต่างๆ หลายรายการ และพบขวดน้ำดื่มภายในรถ จึงได้รวบรวมพยานวัตถุต่างๆ ที่ตรวจพบไปให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ตรวจสอบตรวจพิสูจน์ต่อไป

ผลของการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า 1.พบรอยลายนิ้วมือคนร้ายที่ประตูรถ 2.ที่ขวดน้ำพบดีเอ็นเอ

ส่วนพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานนิติวิทยาศาสตร์ เบิกความว่า เธอได้รับพยานวัตถุต่างๆ จากพนักงานสอบสวนโดยมีกระเป๋าสะพายที่พบในรถกระบะ โดยขณะทำการตรวจสอบพยานวัตถุได้เปิดกระเป๋าและดึงเสื้อออกมาเพื่อจะทำการตรวจหาดีเอ็นเอ ขณะดึงเสื้อออกมาปรากฏว่าซิมโทรศัพท์ได้หล่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ เธอจึงนำส่งซิมนี้แก่พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป

ส่วน พ.ต.ท.ธนกฤต คณิตกุล เบิกความว่า เขาเป็นผู้ไปรับมอบซิมการ์ดจากเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ ปรากฏว่ามีการบันทึก 141 หมายเลข รายชื่อส่วนใหญ่เป็นชื่อของนักเรียนพลตำรวจภูธร 2 จ.ชลบุรี จากนั้นมีการตรวจสอบข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ และเปรียบเทียบกับข้อมูลเว็บไซต์ของนักเรียนพลตำรวจโรงเรียนตำรวจภูธร 2 ชลบุรี ปรากฏว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของจำเลย

ทั้งนี้ พยานโจทก์ที่มาเบิกความเป็นพยานว่าเบอร์โทรศัพท์นี้เป็นเบอร์ที่จำเลยใช้ คือ เพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นนักเรียนพลตำรวจด้วยกัน

ส่วนจำเลยได้เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนภริยาของจำเลยเบิกความว่าวันเกิดเหตุวันที่ 20 มีนาคม 2553 ตัวจำเลยไปกินข้าวที่ร้านอาหารอีสานย่านบางแสน

และวันพรุ่งนี้ (13 ธ.ค.54) จะมีการพิพากษาคดีนี้ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา เวลา 9.00 น.

ที่มา prachatai