นาฬิกา รูปภาพ ปฎิทิน


       เวลาประเทศไทย...  
 
 
 

       ปฏิทินวันนี้...  

News online

Radio

REDPLUS  LIVE 1
ผู้กล้าปชต. 90.25 MHz
REDSIAM
SOOMHUAGUN
วิทยุ 3DANG 1
วิทยุแกนนอน
วิทยุม้าเร็ว 1
THAIVOICE 2
ติดต่อเรา way2fight.rs@gmail.com
Blog นี้เข้าได้สองทางนะครับ http://way2fight.blogspot.com และ http://fighttillwin.blogspot.com แต่ละ Blog มีบทความให้อ่านต่างกันครับ แต่นอกนั้นเหมือนกันหมดครับ C box เดียวกันครับ เข้าทางไหนก็คุยกันได้ครับ สำหรับท่านที่ต้องการเข้ามาคุยอย่างเดียวเชิญทางนี้ครับ http://way2fight.cbox.ws/ (ห้องสีชมพู) และ http://winniebetter.cbox.ws/ (ห้องสีฟ้า) สำหรับท่านที่ต้องการอ่านแต่บทความอย่างเดียวเพราะคอมช้า ทำให้เสียเวลาในการโหลดหน้าเวบ ทางทีมงาน Blog ได้รวบรวมบทความทั้งหมดไว้ด้วยกันแล้ว เชิญทางนี้เลยครับ http://way2fightnews.blogspot.com/

way2fight C-Box

ห้องลับสำหรับคุยหลังไมค์

World Clock เวลาทั่วโลก

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

พิพากษา "สุรชัย" รับสารภาพเหลือ 2 ปี 6 เดือน รวมคดีเก่ายอดพุ่ง 10 ปี ส่วน "สมยศ" ไม่ได้ประกันอีก



พิพากษาจำคุก 5 ปี "สุรชัย แซ่ด่าน" หมิ่นเบื้องสูง รับสารภาพเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน ศาลสั่งโทษเก่า 3 สำนวน รวมจำคุก 10 ปี ด้านทนายยื่นประกัน "สมยศ" ศาลยันไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 55 ที่ผ่านมาศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูง อ.1177/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือ ด่านวิวัฒนานุสรณ์ อายุ 70 ปี แกนนำกลุ่มแดงสยาม  เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

โดยคีดนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 55 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 -  6  ก.พ. 54  เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยบังอาจกล่าวปราศรัยบนเวทีชั่วคราวด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี  และองค์รัชทายาท เหตุเกิดบนเวทีปราศรัยชั่วคราวลานวัดสามัคคีธรรม ซ.ลาดพร้าว 64  แขวง - เขตวังทองหลาง ซึ่งศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้วสอบถาม ซึ่งจำเลยแถลงให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  พิพากษาให้จำคุก 5 ปี  ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยให้นับโทษจำเลยต่อในคดีหมิ่นเบื้องสูงของศาลอาญาอีก 3 สำนวน คดีแดง อ.503/2555  ,504/2555 และ505/ 2555 ที่ศาลอาญา พิพากษาให้จำคุก 7 ปี 6 เดือนด้วย เมื่อรวมโทษจำเลยทั้งหมดแล้ว จึงจำคุกสิ้น 10 ปี

ด้านโลกวันนี้รายงานว่านายคารม พลพรกลาง ทนายความของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย จำเลยในคดีหมิ่นเบื้องสูง กล่าวถึง การเรียกประกันตัว นายสมยศว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ได้ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดและที่ดิน รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท จากการประกันตัว นายสมยศ ต่อศาลอาญารัชดาและศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องประตัว โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

นอกจากนี้ คำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลอาญา เพื่อขอให้ส่งคำร้องยุติการพิจารณาคดีของ นายสมยศ ไว้เป็นการชั่วคราว และให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจาก ไม่ให้สิทธิ์จำเลยในการออกมาต่อสู้คดี แต่ศาลอาญา ก็ไม่ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและพิจารณาคดีต่อไป ดังนั้น ตนจึงได้ไปยื่นคำร้องไว้ที่ ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผลจาการยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลอาญา ยังคงพิจารณาคดีต่อไปได้ แต่ยังไม่สามารถพิพากษา นายสมยศ ได้ เพราะต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน โดย นายสมยศ มีกำหนดที่จะขึ้นศาลในนัดสืบพยานจำเลย คดีหมิ่นสถาบันในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้

ที่มา prachatai

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่าจากคุก : กระบวนการยุติธรรมไทย และชะตากรรมคน 8 คุก (ป้อม M79)

หลัง จากที่ผมถูกจับกุมในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกนำตัวขึ้นรถกระบะซึ่งเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ในราชการเดินทางจากกรุงเทพใน เวลา  20.30 น.มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ผมถึงเชียงใหม่ในเวลา 06.30น. ของเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน เมื่อถึงเชียงใหม่ทางเจ้าหน้าที่จึงเริ่มสอบสวนผมในทันที โดยสอบปากคำผมถึงเวลา 05.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยไม่ยอมให้ผมนอนเลยตั้งแต่ผมถูกจับตัวมา และยังไม่ยอมให้ผมได้ติดต่อกับทางครอบครัวหรือทนายเลย

จนถึงเวลา 06.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผมไปที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปแถลงข่าวการจับกุมที่ บช.น. ภาค 1 โดยสายการบิน Air Asia ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้แถลงข่าวกับ พล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง และพล.ต. ต วิชัย สังข์ประไพ พร้อมนักข่าวอีกมากมาย หลังแถลงการณ์เสร็จ ผมได้ถูกนำตัวกลับเชียงใหม่ โดยสายการบินไทย เพื่อสอบสวนต่อจนถึงเที่ยงคืน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยินยอมให้ผมนอน เนื่องจากสภาพร่างกายของผมทนไม่ไหวแล้ว จนถึงเวลา 07.30น.ของเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวให้ DSI เพื่อสอบสวนต่อ ทาง DSI ได้พูดจาข่มขู่ผมตลอดเวลา ผมถูก DSI สอบสวนอยู่ 2 วัน ผมจึงขอกลับไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผมทนพฤติกรรมของพวกเค้าไม่ไหว

ในเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพเพื่อมาแถลงข่าวอีกครั้ง ซึ่งตั้งแต่ผมถูกจับกุมจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผมติดต่อกับใครเลย หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ผมจึงถามเจ้าหน้าที่เรื่องสิทธิในการติดต่อญาติ ทางเจ้าหน้าที่จึงบอกว่ากลับถึงเชียงใหม่ก่อน เช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ผมติดต่อกับญาติ ทุกคนดีใจมากเพราะเห็นแต่ข่าว แต่ไม่รู้ว่าผมอยู่ไหน เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน ทุกคนจึงมาเยี่ยมผมที่สถานีตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เจอครอบครัว เพราะหลังจากที่ผมออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2553 ผมก็ไม่ได้เจอกับครอบครัวอีกเลย ญาติผมทุกคนก็สอบถามเรื่องการประกันตัวจากทางเจ้าหน้าที่ แต่ผมถูกคัดค้านการประกันตัว

วันที่ 3 ธันวาคม 2553 ผมถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดนความมั่นคงสูง (กีดกัน) ในทันที ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 15 เมตร มีจำนวนผู้ต้องขัง 36 คน ซึ่งแต่ละคนเป็นคดีอุจฉกรรจ์ทั้งสิ้น ผู้ต้องขังทุกคนเคยออกข่าวทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์มาแล้วทั้งสิ้น แดนความมั่นคงสูงอยู่ที่ชั้น 5 ของตึก ในแดนมีห้อง 5 ห้องจำนวนผู้ต้องขัง 120 คน เป็นแดนเดียวของเรือนจำเชียงใหม่ที่ผู้ต้องขังไม่เคยเห็นดิน และไม่เคยถูกแสงแดดเลย เวลาซักผ้าก็ผึ่งกับพัดลม เวลาญาติมาเยี่ยมก็เยี่ยมผ่านกล้องวีดีโอ เรื่องอาหารก็ค่อนข้างดี เป็นข้าวสวย 6 เดือน ข้าวเหนียว 6 เดือน ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ผมกดดันมาก แต่โชคดีที่ผู้ต้องขังในแดนชื่นชอบพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อไหร่ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล การอภัยโทษหรือลดโทษของผู้ต้องขังนั้นพรรคเพื่อไทยได้ให้มากกว่าที่พรรคอื่น ให้ ทุกคนจึงมาคุยสอบถามข้อมูลข่าวสารจากผมตลอดเวลา จึงทำให้ผมพอหายเหงาได้บ้าง และวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดของผมก็คือ การอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์ก่อนนอน เพราะตัวผมเองนับถือเจ้าแม่กวนอิมอยู่แล้ว

การใช้ชีวิตในเรือนจำเชียงใหม่ของผมนั้น ผมอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางญาติไม่มีเงินและอยู่ไกล และทุกคนก็ลำบากอยู่แล้ว ผมจึงรบกวนเงินทางบ้านเดือนละ 800 บาทเพื่อไว้ซื้อของใช้ ทุกๆ วันที่ผมอยู่ที่นั่นผมคิดถึงแต่เรื่องครอบครัวและเรื่องการประกันตัวตลอด เวลา แต่ยื่นประกันตัวกี่ครั้งก็ไม่เคยผ่าน ผมเลยลุ้นให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ โดยการถามข่าวการเมืองจากผู้คุมทุกวัน เพราะที่นั่นไม่ให้ดูข่าว พอผมทราบมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ยอมให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 3 กรกฎาคม ผมจึงเชิญชวนผู้ต้องขังที่มีญาติมาเยี่ยมให้ช่วยกันเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันบอกญาติให้เลือกพรรคเพื่อไทย ถึงมันจะเป็นการกระทำที่เล็กๆ น้อยๆ แต่ผมขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อพรรคการเมืองที่ผมรักบ้างก็ยังดี และในวันที่ชัยชนะมาถึง วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ผมได้ทราบข่าวการเลือกตั้งจากผู้คุมว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ทุกๆ คนดีใจกันมาก ซึ่งนั่นหมายถึงการอภัยโทษที่จะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบรอบ 84 พรรษาซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ดำเนินการนั่นเอง ซึ่งผมก็ดีใจเพราะผมจะได้มีโอกาสในการยื่นประกันตัวอีกครั้ง แต่แล้วความฝันของผมก็พังทลายลงไป

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 มีคำสั่งย้ายผมด่วน เนื่องจากกลัวว่าจะมีคนช่วยผมออก ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางพิษณุโลก ระหว่างการย้ายทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้ผมเข้าห้องน้ำเลย ทั้งๆ ที่ขาทั้ง 2 ข้างของผมก็มีเครื่องพันธนาการ (โซ่ตรวน) อยู่ ไม่มีอาหารให้รับประทาน ทันทีที่มาถึงเรือนจำกลางพิษณุโลก ผมก็ถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 2 โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 9 เมตรมีผู้ต้องขัง 16 คนอากาศที่นี่ดีมากๆ เพราะมีต้นไม้และสนามหญ้า แต่ผมก็ไม่ได้ออกจากห้อง เพราะผมต้องถูกขังเดี่ยว ทุกวันผมเฝ้ามองธรรมชาติผ่านลูกกรง ถึงแม้จะเครียด แต่อากาศที่นั่นก็บริสุทธิ์ ผมใช้ธรรมชาติในการบำบัดความเครียด แต่หลังจากที่ผมย้ายออกมาจากเรือนจำกลางเชียงใหม่ ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องประกันตัวอีกเลย

เช้าวันที่ 11 สิงหาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการเช่นเคย ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 12 เมตร ทุกๆ วันผมได้แต่ยืนมองเพื่อนผู้ต้องขังจากในห้อง เพราะมีคำสั่งให้ขังเดี่ยวผมในตอนกลางวัน แต่อยู่ที่นี่ผมไม่ค่อยเครียดเพราะอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งทุกคนในครอบครัวของผม ผลัดกันมาเยี่ยมทุกวัน กลับจากการเยี่ยมญาติผมก็อ่านหนังสือ ผมจึงไม่มีแรงกดดันใดๆ ผมทำทุกอย่างซ้ำๆ จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไป

เช้าวันที่ 29 กันยายน 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำพิษณุโลก (คนละแห่งกับเรือนจำกลางพิษณุโลก) ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 5 ทางผู้คุมส่งตัวผมเข้าห้องขังเดี่ยวทันที การมาที่นี่ของผมทำให้ผมเครียดมาก เพราะห้องขังเดี่ยวกว้างเพียง 2 x 4 เมตรเป็นห้องมืดนอนคนเดียวและขาทั้งสองข้างก็มีเครื่องพันธนาการ ผมกลายเป็นเหมือนคนบ้า ที่ประตูห้องจะมีช่องสำหรับส่งอาหารจากทางผู้คุม ผมจะไปรับแสงแดดช่วงที่ผู้คุมนำอาหารมาส่งให้ ที่นี่มีห้องขังเดียวทั้งหมด 10 ห้องเพราะใช้คุมขังผู้ต้องขังที่ผิดระเบียบวินัยของทางเรือนจำ จะไม่เคยมีใครเห็นหน้ากัน ทุกๆวันผมได้แต่สวดมนต์ภาวนาขอให้ใครซักคนนึกชื่อผมได้ แล้วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผม หรือให้ส่งตัวผมไปที่เรือนจำอื่นเร็วๆ แล้วสิ่งที่ผมเฝ้ารอก็มาถึง

เช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำจังหวัดพะเยา เมื่อผมมาถึงที่เรือนจำจังหวัดพะเยา เหมือนสวรรค์มาโปรดผม เพราะขาทั้ง 2 ข้างที่ใส่เครื่องพันธนาการมาตั้งนาน ได้ถูกถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 9 x 18 เมตร แต่จำนวนผู้ต้องขังในแต่ละห้องมีมากถึง 127 คน ซึ่งถือว่าแออัดทีเดียว อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ใส่ในถาดหลุม 1 หลุม 1 ถาดรับประทาน 4 คน ซึ่งไม่อิ่มแน่ น้ำที่นี่ค่อนข้างขาดแคลน ในช่วงที่ผมย้ายมาจากเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ทุกคนจะเรียกผมว่า “จิ้งจก” เพราะผมขาวจนซีด แต่พอผมมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ดำเท่าเทียบกับผู้ต้องขังคนอื่น อยู่ที่นี่ผมเครียดมาก เพราะมีเวลามากเกินไป ที่นี่มีห้องนอนธรรมะ ซึ่งในทุกเช้าเวลาตี 5 ผมจะตื่นมาฟังเพื่อนผู้ต้องขังที่นอนในห้องธรรมะสวดมนต์ทำวัดเช้าเป็นประจำ ซึ่งพอจะช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง

เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางเชียงราย หรือ ดอยฮาง ที่นี่มีสโลแกนว่า “สวิตเซอร์แลนเมืองไทย” ห้องที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง 32 คน อากาศที่นี่ดีมาก ตื่นเช้ามาจะมองเห็นทะเลหมอกในเรือนจำ อากาศก็บริสุทธิ์ อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ช่วงที่ผมอยู่ที่นี่ผมได้ฝึกวิชาชีพในโรงงานสานอวน ทุกๆ วันผมต้องทำงานทั้งวัน จึงไม่ค่อยมีเวลามาคิดเรื่องอื่นให้เครียด แต่ในใจของผมก็ยังต้องการให้ใครมาช่วยเหลือ เพราะอีกไม่กี่วันผมก็จะได้ฉลองปีใหม่ในเรือนจำเป็นปีที่ 2 ผมเหมือนคนที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะไม่มีญาติมาหาเลย แต่ก็มีเพื่อนๆ ผู้ต้องขังคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันเสมอ และผมต้องทำงานเพื่อให้ลืมความเครียดทั้งหมด ในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ผมได้ยืนดูพลุผ่านลูกกรง และนับถอยหลังในเรือนจำอีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ท้อ ผมยังคงรอให้ใครซักคนข้างนอกเป็นห่วงผมบ้าง แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับกำลังใจก้อนโต ผมได้รับ ส.ค.ส. จากกลุ่มเพื่อนนักโทษทางการเมือง เป็น ส.ค.ส. อวยพรปีใหม่ที่อวยพรมาจากพี่น้องคนเสื้อแดงหลายๆ คน ใครอาจจะมองว่า ส.ค.ส นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันคือกำลังใจ ที่มากมายมหาศาลและอย่างน้อยก็ยังมีคนที่นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผมอีกคนที่ อยู่ในเรือนจำ ทุกคืนก่อนนอนผมต้องนำส.ค.ส นั้นขึ้นมาอ่านเพื่อเสริมสร้างกำลังใจของผมให้เข้มแข็งและช่วยให้หายเหงาได้

เช้าวันที่ 18 มกราคม 2555 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษพัทยา ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 5 ห้องนอนที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร แต่นอนอึดอัดมากทั้งที่ในห้องนอนมีผู้ต้องขังเพียง 67 คน เพราะที่นี่จะมีผู้ต้องขังเก่าหรือที่เรียกกันว่า “ขาใหญ่” ทุกห้องในห้องจะเหลือเนื้อที่เพียง 3 x 3 เมตร เพื่อสำหรับให้ผู้ต้องขังใหม่จำนวนกว่า 40 คนได้นอนซึ่งทุกคนต้องนอนทับกัน การอาบน้ำใน 1 วันมีเวลาอาบแค่ 1 นาทีเดินออกมาจากห้องน้ำบางครั้งสบู่ยังเต็มตัวอยู่เลย น้ำดื่มก็ขาดแคลน ผู้ต้องขังที่นี่จะมีโรค ผื่น ฝี และหิดกันทุกคน เรื่องอาหารก็ต้องซื้อกินอย่างเดียว ส่วนตัวผมนั้นมีพี่น้องเสื้อแดงทั้งจาก ชลบุรี,สมุทรปราการ,กรุงเทพ และจังหวัดใกล้เคียงผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมทุกวัน ทุกๆ คนช่วยให้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ถึงแม้จะไกลและลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ผมคงทำได้เพียงแค่ เอ่ยคำว่า “ขอบคุณ”เท่านั้น

เช้าวันที่  9 กุมถาพันธ์ 2555 ผมถูกส่งตัวมายัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 1 ซึ่งเป็นการย้ายเรือนจำครั้งที่ 8 ของผมห้องนอนที่นี่กว้าง 6 x 12 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง  31 คน ที่นี่สะอาดและเป็นระเบียบทุกอย่าง อาหารการกินก็ได้กินทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา อยู่ที่นี่ผมได้พบกับพี่สมยศ พฤกษาเกษมสุข,พี่สุรภักดิ์ ภูไชยแสง,อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) และพี่น้องทุกคนที่ยังอยู่ที่นี่ เราทุกคนพูดคุยปรึกษากันได้ และมีพี่น้องคนเสื้อแดงมาคอยให้กำลังใจพวกเราตลอดเวลา ถึงผมจะห่างครอบครัวมานาน แต่ผมก็ไม่เหงา เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง มีเท่าไหร่ก็แบ่งกันเท่านั้น พี่น้องเสื้อแดงทุกคนคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม ทุกคนคือครอบครัวผม กำลังใจทั้งหมดที่ผมมี ก็มาจากพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ไม่ว่าจะในเรือนจำหรือข้างนอก ทุกคนคอยให้กำลังกันเสมอ ในเร็วๆนี้ผมต้องย้ายไปที่ เรือนจำปทุมธานี อีกครั้ง ผมคงต้องห่างกับทุกๆ คนอีกครั้ง แต่พี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน จะอยู่ในใจของผม “ตลอดกาล”

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอขอบคุณน้องสาวที่แสนดีผู้ติดตามข่าวของผมตลอด และคอยเยี่ยมคอยดูแลผมเสมอ คือน้องเปิ้ล (กริชสุดา) และพี่เมย์ (แดง E.U) ที่คอยห่วงคอยดูแลผมขอบคุณ D.J อ้อม (กัญญาภัคร) ที่ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็ยังคอยมาเยี่ยม และขอบคุณพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ผมอยากบอกรัฐบาลและทุกๆ คนว่า พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ขอเพียงทุกๆ ฝ่ายเดินหน้าแก้ปัญหา เพื่อพาพวกเราที่เหลือ ทั้งที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ และที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้กลับบ้านให้หมดทุกคน พวกเราจะได้ออกไปเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับท่านอีกครั้ง ฝากถึงญาติพี่น้องผู้ต้องขังทุกคนว่า ทุกคนในนี้ต้องการกำลังใจจากท่าน ขอเพียงแค่ท่านเขียนจดหมายมาหา ทุกคนก็ดีใจมากแล้ว ฝากถึงสังคม ทุกคนในนี้ไม่ใช่คนไม่ดี ขอเพียงแค่เวลาที่พวกเค้าได้กลับออกไป พวกคุณและสังคมโปรดให้โอกาสเขาบ้าง เขาทุกคนจะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศของเราให้สืบต่อไป

 ขอขอบคุณทุกกำลังใจ
 วัลลภ   พิธีพรม
 19    มีนาคม    2555

ที่มา prachatai

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

‘สมยศ’ ยันสู้ต่อคดีหมิ่นฯ เฮือกสุดท้ายพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมไทย


5 เม.ย.55  รายงานข่าวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งว่าสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้ยืนยันว่าจะไม่รับสารภาพและขอพระราชทานอภัยโทษเช่นเดียวกับผู้ต้องขังคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายอื่นๆ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ หากรับสารภาพก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“เขาชวนมาต่อสู้ในชั้นศาลก็อยากจะลองดู คนที่เขารับสารภาพเพราะเขาไม่เชื่อมั่น สิ้นหวังกับกระบวนการยุติธรรมแล้ว แค่สิทธิในการประกันตัวก็ยังไม่มี ฝ่ายผู้เสียหายก็ยังไม่เคยปรากฏตัวในชั้นศาลซักครั้ง ที่เราสู้ เพราะอยากรู้ด้วยตัวเองว่า ความยุติธรรมสำหรับคดี 112ยังหลงเหลืออยู่ไหม” สมยศกล่าว

“ที่เข้ามาไม่ได้เข้ามาเพื่อรอวันออก แต่เข้ามาเพื่อสู้ อย่างน้อยจะได้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์” สมยศกล่าว

เขากล่าวอีกว่า ผลการแพ้ชนะคดีสำหรับเขาแล้วมีค่าเท่ากัน เพราะหากได้ออกจากเรือนจำก็ยังเจอกรงขังที่ใหญ่กว่า ที่ผ่านมาถือว่าได้ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประเทศแล้ว มีส่วนร่วมทางการเมือง ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างที่พลเมืองที่ดีควรจะเป็น

“ปัญหาสำคัญคือ ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับสารภาพเพื่อหาทางรอด มันแปลว่าอะไร มันปวดลึกยิ่งกว่าอีก  เลยคิดว่าสู้ดีกว่า อย่างน้อยให้เขาเป็นฝ่ายพิพากษา” สมยศกล่าว

ทั้งนี้ สมยศถูกจับกุมที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วเมื่อวันที่ 30 เม.ย.54 ขณะพาคณะทัวร์เตรียมผ่านแดนไปกัมพูชา โดยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Vioce of Taksin ซึ่งตีพิมพ์บทความเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง 2 บทความ

เขาถูกคุมขังนับแต่นั้นและไม่ได้รับการประกันตัว ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน โดยที่ผ่านมามีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 4 ครั้งในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 21 พ.ย.54, จังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.54, จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.55, จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 13 ก.พ.55 แต่มีการเลื่อนมาสืบพยานที่กรุงเทพฯ เนื่องจากพยานอยู่กรุงเทพฯ

หลังจากนี้จะมีการสืบพยานโจทก์ที่ศาลอาญา รัชดา ต่อเนื่องอีกในวันที่ 18-20, 24-26 เม.ย.55 และสืบพยานโจทก์ในวันที่ 1-4 พ.ค.55

ที่มา prachatai

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

ชีวิตและงานของสมยศ ทำไมถึงเป็นเขาในวันนี้

โดย Free Somyot



สม ยศ พฤกษาเกษมสุข เริ่มต้นการทำงานโดยการเข้าร่วมขบวนการแรงงานตั้งแต่ยังศึกษาที่มหาวิทยาลัย รามคำแหง หลายคนอาจไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเมื่อเขายังอยู่ในวัยรุ่น สมยศได้เข้าร่วมขบวนการนักเรียนและร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใน ยุค  6 ตุลา 2519 



สมยศได้เริ่ม ต้นการทำงานในองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนและจากนั้นได้เข้าสู่ขบวนการแรง งานโดยมีผลงานการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนหลายครั้งเช่น การเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนงานอ้อมน้อย เป็นที่ปรึกษาให้สหภาพแรงงานไทยเบลเยี่ยมและคนงานโรงงานทอผ้าพาร์การ์เม้นท์ ในการต่อสู้การเรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำและการเลิกจ้างคนงานที่เป็นสมาชิก สหภาพแรงงาน การเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมของคนงานย่านรังสิต ปทุมธานี การช่วยเหลือคนงานเนื่องจากไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ร่วมกับองค์กรแรงงาน ไทยและต่างประเทศ ก่อตั้งกลุ่มคนงานสตรีสู่เสรีภาพ เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ลูกจ้างหญิงทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับสิทธิการลาคลอด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเวลา 3 เดือน 



นอก จากนี้เขายังได้ก่อตั้งศูนย์บริการข้อมูลและฝึกอบรมแรงงาน ซึ่งเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาและอบรมคนงานด้านสิทธิการจ้างงานและฝึกอบรมคนงานใน สายการผลิตต่างๆเช่นโรงงานเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รถยนต์และจักรยานยนต์ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2525 จนถึง 2548 ต่อจากนั้นสมยศหันเหความสนใจมาสู่การทำหนังสือและคอลัมนิสต์ ซึ่งเป็นงานที่เขารักและถนัดมาตั้งแต่ครั้งเป็นสาราณียากรให้กับโรงเรียนเทพ ศิรินทร์ขณะเรียนอยู่มัธยมปลาย 



สม ยศเริ่มต้นอาชีพคนทำหนังสือโดยก่อตั้งสำนักพิมพ์สยามออลเทอร์เนทีฟ  และได้ออกนิตยสาร สยามปริทัศน์ และพ็อคเกตบุคส์ที่มีเนื้อหาด้านแรงงานและการเรียกร้องประชาธิปไตย รวมทั้งการตรวจสอบรัฐบาลตั้งแต่ยุค รสช เรื่อยมาจนถึงยุครัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารพ.ศ. 2549 สมยศเกิดความสงสัยในกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงถดถอยหลายครั้ง ทั้งๆที่ประเทศไทยควรจะเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แบบยิ่ง ขึ้นโดยอำนาจของประชาชนแต่กลับต้องถอยหลังเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้น การแสวงหาคำตอบจากการตั้งคำถามในนิตยสารและโลกออนไลน์ทำให้สมยศได้แลก เปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยซึ่งมีความสงสัยในการรัฐ ประหารเหมือนๆกับเขา สมยศและเพื่อนๆจึงร่วมกันก่อตั้งกลุ่มศึกษาและมีการพัฒนาไปสู่การเข้าร่วม เรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกันเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก) และท้ายสุดร่วมขบวนเป็น นปช

  

ขณะที่ สมยศเข้าร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยแท้ๆที่มาจากการเลือกตั้ง เขาก็ยังดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์ จัดทัวร์และนำเที่ยว สมยศไม่ละทิ้งจิตวิญญาณการเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยทำงานด้านการเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ หลายครั้งที่สมยศเคลื่อนไหวเขาถูกขัดขวางจากผู้มีอำนาจและสูญเสียผลประโยชน์ จนถูกตรวจสอบและอายัดบัญชี ถูกจับกุมคุมขังที่ค่ายทหารเมื่อเดือนพ.ค. 2553 เป็นเวลากว่า 1 เดือน


ใน ที่สุดสมยศก็ถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าถูกตั้งข้อหา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 ขณะที่สมยศเดินทางไปศึกษาประวัติศาสตร์ที่นครวัต ประเทศกัมพูชา พร้อมกับลูกทัวร์จำนวนมากกว่า 20 ชีวิตและกำลังผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เขากลับถูกจับกุมตัวโดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่าเขามี พฤติการณ์จะหลบหนี และคดีที่เขาได้รับเป็นคดีร้ายแรงเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ โดยที่พนักงานอัยการกล่าวโทษสมยศจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ ที่ตีพิมพ์บทความที่อัยการได้นำไปให้ผู้อ่านตีความและมีผู้อ่านตีความว่า พาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆที่บทความนั้นๆไม่ได้เขียนขึ้นโดยสมยศ



จน กระทั่งถึงวันนี้ เป็นเวลานานกว่า 11 เดือนแล้วที่สมยศถูกคุมขังโดยยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ การยื่นขอประกันตัวถึงศาลชั้นต้นเป็นจำนวน 8 ครั้งรวมถึงการยื่นประกันตัวที่ศาลอุทธรณ์อีก 1 ครั้งโดยศาลให้เหตุผลเช่นเดิม เป็นการตอกย้ำคำถามที่ประชาชนไทยสงสัยในความยุติธรรมว่ายังคงมีอยู่ในประเทศ ไทยหรือไม่ รวมทั้งการตั้งคำถามต่อมาตรฐานการปฏิบัติต่างๆตามกฎหมายเช่นการควบคุมตัวไป ยังเรือนจำจังหวัดต่างๆเพื่อฟังการสืบพยานโจทก์โดยต้องเดินทางเป็นเวลานานไป กลับถึง ๔ จังหวัดและไกลที่สุดกว่า 30 ชั่วโมงทั้งไปและกลับโดยต้องเดินทางโดยรถกรงขังพร้อมกับโซ่ตรวน กับข้อหาที่เขาไม่ได้เป็นผู้กระทำ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศชั้นนำในกลุ่มประเทศอาเซียน และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศแล้ว ดูเหมือนว่าระบบยุติธรรมของไทยในวันนี้จะถอยหลังเข้าคลองและล้าหลังยิ่งกว่า บางประเทศเสียด้วยซ้ำ

2 เมษายน 2555

ที่มา fb Free Somyot

จม.จากคุก: เรื่องของผู้ก่อการร้ายหมายเลข1 คดี M79 เชียงใหม่-กรุงเทพฯ

หมายเหตุ - จดหมายจากผู้ต้องหาคดียิง M79 หลายจุดในจังหวัดเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ระหว่างและหลังสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยถูกจับกุมตัวในวันที่ 21 พ.ย.53 และนำมาแถลงข่าวในวันที่ 23 พ.ย.53 เขาถูกคุมขังตั้งแต่นั้น โดยตระเวนไปขึ้นศาลหลายจังหวัด จากการสอบถามผู้ต้องขังเขาระบุว่าในวันจับกุมเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบญาติ และทนาย หากจะติดต่อต้องรับสารภาพ จึงยอมรับสารภาพในชั้นสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล โดยในเว็บไซต์ศาลอาญาระบุความผิดในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนฯ

หน้าแรกจดหมายของวัลลภ


ตัว ผมเกิดและเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือ ในครอบครัวของผมเรามีกันทั้งหมด 5 คน คือ พ่อ แม่ และลูกๆ ทั้ง 3 ตัวผมเป็นลูกคนสุดท้ายของครอบครัวนี้ ชีวิตของทุกๆ คนในครอบตัวต้องต่อสู้และดิ้นรนหนีความยากจนของครับครัว ตัวผมเองก็ได้รับรู้ถึงความลำบากของทุกคนในครอบครัวมาโดยตลอด พวกเราทั้ง 5คนจึงได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งเราต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่หันมาสนใจและห่วงใยชาวนาและคนจนอย่างจริงๆ บ้าง จนผมได้ศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด เพื่อลดภาระของครอบครัว ผมจึงตัดสินใจเข้าสมัครเป็นทหารด้วยวัยเพียง 18 ปีเพื่อที่จะปกป้องประเทศและประชาชนจากอริราชศัตรู เพราะผมเชื่อว่าทหารไทยคือหทารของประชาชน และในช่วงที่ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อยู่นั้น ประเทศไทยได้มีการหาเสียงเพื่อเลือกตั้ง โดยผมได้ให้ความสนใจพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ชื่อพรรค “ไทยรักไทย” พรรคนี้ได้เสนอนโยบายพรรคหลายอย่าง ทั้งกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท, บัตรประกันสุขภาพ (บัตร30บาท), ปลดหนี้ IMF, สินค้า OTOP กับโครงการ 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง และอื่นๆ อีกหลายโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการพรรคนี้ไม่น่าจะทำได้ เพราะที่ผ่านมา ผมเคยเห็นและเคยได้ยินแต่รัฐบาลที่มีแต่ลมปาก พูดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ผมก็ได้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย

หลังการเลือกตั้งผ่านไป พรรคไทยรักไทยก็ชนะการเลือกตั้ง โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคไทยรักไทยได้พิสูจน์ให้ผมได้เห็นว่า เขาสามรถทำได้จริงตามนโยบายที่เขาเคยให้ไว้กับประชาชน นโยบายของเขาจับต้องได้และสัมผัสได้จริงๆ  เขาได้พัฒนา ชาวไร่ ชาวนาและคนยากจนให้มีอาชีพ และโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ในสังคม ส่วนครอบครัว พี่ชายคนโตได้มีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนพี่ชายคนกลางของผมได้เรียนจบวิศวกรรมตามที่เขาหวังไว้ ซึ่งทำให้ผมเชื่อมันและศรัทธาในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น ผมจึงมั่นใจว่าพรรคไทยรักไทยสามารถนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากคำว่า ประเทศกำลังพัฒนา และพาไปให้เท่าเทียมประเทศอื่นซักที ผมจึงสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา

และเมื่อผมปลดประจำ การมา ผมก็ได้กลับมาทำงานที่บ้าน มาหาเงินและใช้ความสุขกับครอบครัว พรรคไทยรักไทยทำให้ครอบครัวผมที่เคยยากจนกลับมามีทุกอย่างเหมือนครอบครัว อื่น ทำให้ผมเชื่อว่า “นี่แหละคือการเลือกตั้งของประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ประชาขนได้เลือกนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่สนใจและดูแลจริงๆ” ผมจึงภาวนาให้พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลนานๆ และแล้วสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้น 19 กันยายน 2549 คณะ คมช.ได้ทำการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเมืองไทย หลังจากการรัฐประหารในเมืองไทยได้ห่างหายไปถึง 14 ปี (พ.ศ.2535-2549) ซึ่งเป็นการกระทำของทหารที่อ้างว่า “ทหารคือข้าของประชาชน” แต่สิ่งที่เขาทำ เขาได้ทำลายรัฐบาลที่ประชาชนรักที่สุด เขาได้ทำลายประเทศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายประชาธิปไตย ผมซึ่งเคยเป็นทหารจึงไม่พอใจกับการรัฐประหารครั้งนั้น ผมจึงเริ่มติดตามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ในปี 2551 เพื่อหาข้อมูลทุกอย่างจนทำให้ผมได้รู้ความจริง ว่ากลุ่มพันธมิตรหลอกประชาชน เพียงแค่หวังประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่พวกเขาจ้างมาว่าจะได้รับความเดือดร้อนขนาดไหนกับ การชุมนุมในครั้งนี้ ผมจึงมั่นใจในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น (ช่วงนั้นคือพรรคพลังประชาชน) ผมจึงตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มตัวในต้นปี 2552 ผมจึงได้ขยายกลุ่มและใช้ความรู้ของผมที่ผมรวบรวมมาสร้างกลุ่มขึ้น โดยการเปิดโทรทัศน์ช่องเสื้อแดงและเข้าร่วมชุมนุมตามจังหวัดต่างๆ และได้สมัครเป็นการ์ดของจังหวัด ติดตามการปราศรัยของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, คุณจตุพร พรหมพันธ์, พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล, อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และคุณกัญญาภัคร มณีจักร มาโดยตลอดจน

ถึงช่วงที่เกิดเหตุ การณ์เมษาเลือดในช่วงเดือนเมษายน 2552 ผมได้ติตามข่าวสารและเก็บภาพเพื่อมาวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ อาวุธของทหารที่ใช้ยิ่งประชาชน ผมจึงทราบว่า “ทหารยิงประชาชน” จริงๆ โดยการใช้กระสุนจริง ยิงประชาชนไม่ได้ใช้กระสุนปลอมเหมือนที่รัฐบาลประชาธิปัตย์หรือทหารอ้างต่อ สื่อ ผมและกลุ่มจึงไม่พอใจ จึงได้เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น โดยการเข้าร่วมชุมนุมในทุกๆ ที่เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของพี่น้องคนเสื้อแดง และในวันที่ 11 มีนาคม 2553 พี่น้องคนเสื้อแดงทั้งประเทศได้พิสูจน์ให้ผมเห็นถึงความรัก ความสามัคคี และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ทุกคนมาจากทุกพื้นที่ในประเทศไทยเพื่ออกมาต่อสู้กับรัฐบาลโจรและอำนาจเถื่อน ที่มาปล้นรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยของเราไป คนพวกนี้ต้องการเพียงอำนาจ เงิน และการเอื้อประโยชน์ให้พวกเดียวกัน ตัวผมไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผมทิ้งมา ทั้งงาน บ้าน และครอบครัวที่แสนอบอุ่น เมื่อผมได้เห็นพี่น้องคนเสื้อแดงออกมาสู้กันมากมายเช่นนี้ ถึงแม้การต่อสู้ของพวกเราและ นปช.จะจบลงแบบไม่สวย แต่เราก็ไม่แพ้และจะไม่มีวันแพ้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญจอมปลอมมาถึง 80 ปี (พ.ศ.2475-2555) แต่ผมก็เชื่อว่าทุกคนยังพร้อมจะสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยแบบเต็มใบ และเพื่อประเทศที่เป็นของประชาชนอีกครั้ง

หลังจากการสลาย การชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ผมต้องหาเงินมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ครอบครัวสูญเสียไป ผมจึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเงินไว้ต้อนรับการเกิดมาของลูกสาวคนที่  ผมต้องหาเงินมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ครอบครัวสูญเสียไป ผมจึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเงินไว้ต้อนรับการเกิดมาของลูกสาวคนที่ 3 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2553 โดยผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินไว้ให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง เพื่อที่ผมจะได้เข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องหมดอิสรภาพลงในวันที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับประเพณีลอยกระทง ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในขณะเติมน้ำมันเพื่อกลับบ้านในเขตท้องที่สาย ไหม กรุงเทพมหานคร ในข้อหาก่อการร้ายที่ DSI ตั้งให้และข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ผมถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่นั้นมา ผมอยากรู้ว่าทำไมหรือ คนที่เขาออกมาชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยเพื่อทวงอำนาจคืน สู่ประชาชน ทำไมต้องเอาอาวุธออกมาไล่ยิง ไล่ฆ่าพวกเขาด้วย นี่หรือทหารของประชาชน ทำไมต้องยัดข้อหาให้พวกเขาทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด และจะกลั่นแกล้งผมไปถึงไหน

ปัจจุบันผมต้องย้ายเรือนจำมา ทั้งหมด 8 เรือนจำแล้ว และกำลังจะย้ายไปเรือนจำที่ 9 ผมไม่ได้เจอครอบครัวมานานมากแล้ว จะมีก็แต่พี่น้องคนเสื้อแดงเท่านั้นที่คอยเยี่ยม คอยห่วง ภรรยาของผมที่ผมทั้งรักและห่วงก็มาจากผมไปเพียงแค่คำว่า “ไม่อยากเป็นเมียผู้ก่อการร้าย” คนเสื้อแดงและพวกผมผิดหรือเพียงแค่ต้องการประชาธิปไตย กลับต้องกลายเป็นกบฏ เป็นผู้ก่อการร้ายกันทุกคน ปัจจุบันลูกสาวคนโตผม 10 ขวบแล้ว คนกลาง 7 ขวบ คนสุดท้อง 2 ขวบแล้ว ผมเชื่อว่าทุกๆ คนคิดถึงผม ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดถึงเขา เมื่อไหร่ที่ลูกคนเล็กพูดได้ เขาคงจะถามคุณย่าของเขาว่า “พ่อหนูไปหน พ่อหนูคือผู้ก่อการร้ายจริงหรือ” แต่อย่างน้อย สวรรค์ก็มีตา เราได้พรรคเพื่อไทยของเรากลับมาอีกครั้ง เขาต้องกลับมาเพื่อสานต่อทุกคำสัญญาที่เขาให้กับประชาชนไว้ และเมื่อนั้นผมเชื่อว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสกว่าเสมอ”

มีคน ถามผมว่า ผมท้อไหม ถอดใจไหม ผมตอบได้เลยว่า “ไม่” ผมพร้อมที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมทุกคนเสมอ ถึงอนาคตข้างหน้า ผมจะต้องสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ก็ตาม ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง และก็เชื่อว่าทุกๆ คนก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเหมือนกัน แต่พวกเราทุกคนทำเพื่อลูกหลานของเรา เพื่อประเทศของเรา เพื่อทุกคนที่เรารัก ต่อให้การต่อสู้ครั้งหน้าผมต้องบาดเจ็บล้มตาย ผมก็ยอม ผมไม่อยากให้การหลอกลวงจอมปลอมทั้งหมดต้องตกไปเป็นภาระของรุ่นลูกรุ่นหลาน ของพวกเรา ผมขอให้สัญญา “ตราบใดถ้าคนเสื้อแดงทุกคนยังพร้อมที่จะต่อสู้ร่วมกันเช่นนี้ เราจะไม่มีคำว่าแพ้อย่างแน่นอน”

(ข้อความถึงลูก) นานแล้วนะที่เราจากกันมา พ่อไม่ได้ทิ้งทุกๆ คนไปไหน พ่อไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ พ่อไม่ได้ต้องการการยกย่อง พ่อไม่ได้ต้องการเหรียญกล้าหาญใดๆ แค่ซักวันหนึ่ง เมื่อพวกหนูโตขึ้น หนูจะเข้าใจว่าสิ่งที่พ่อทำมันยิ่งใหญ่แค่ไหน หนูจะรู้ว่าเพราะอะไรพวกพ่อต้องออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศนี้ พวกหนูทั้ง 3 คน อย่าได้น้อยใจหรือเสียใจที่ไม่ได้เติบโตมาใสอ้อมกอดพ่อ พ่อเชื่อว่าการจากกันครั้งนี้ใช่จากกันชั่วนิรันดร์ แต่เป็นเพียงแค่การจากเพียงชั่วครู่เท่านั้น พ่ออยากให้หนูรู้ว่าครั้งหนึ่งพ่อก็เคยรู้สึกเหมือนหนู พ่อทนกับการดูถูกเหยียดหยามมามาก เพื่อการนี้พ่อึงต้องดิ้นรนเพื่อหลีกหนีความจน พ่อต้องการคนที่เขาพัฒนาคนจน ทำเพื่อประชาชนได้จริงๆ ของเพียงลูกๆ ของพ่อเป็นคนดี ตั้งใจเรียน เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง หนูอย่าได้ดูถูกคนที่เขาด้อยกว่า ให้หนูมองทุกๆ คนว่าเท่าเทียมกับเรา หนูจะได้ไม่รู้สึกเด่นหรือด้อยกว่าคนอื่นเขา พ่อเชื่อว่าอีกไม่นาน พ่อคงได้กลับไปอยู่กับลูกๆ ขอให้หนูหลับฝันดี แล้วซักวันพ่อจะกลับคุ้มครองลูกๆ เอง

สุดท้ายนี้ ผมอยากขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงทุกคนที่คอยติดตามถามไถ่ ทุกข์- สุข อย่างไร คอยให้กำลังใจในช่วงที่ต้องขึ้นศาลฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นก็ลำบากแสนลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณพี่ๆ คดี 112 ทั้งพี่สมยศ, พี่สุรภักดิ์, อาจารย์สุรชัยที่คอยให้คำปรึกษาและดีกับผมเสมอมา ทำให้ผมอดทนมาได้ถึงวันนี้ ผมจะอดทนต่อไป เพื่อจะได้ไปต่อสู้ร่วมกับทุกๆ คนอีกครั้ง



ผมศรัทธาในการต่อสู้ของทุกๆ คน

วัลลภ พิธีพรม

16 มีนาคม 2555

ที่มา prachatai

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

จดหมายจาก อ.สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ [ ฝากส่งออกมา ]

จดหมายจาก อ.สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ [ ฝากส่งออกมา ]

เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพ

พวกกระผมผู้ต้องคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือที่เรียกว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทั้งหมด 11 คน เป็นนักโทษเด็ดขาดแล้ว 7 คน อยู่ระหว่างต่อสู้คดี 4 คน ขอกราบเรียนว่า

การเสนอทางออกในการแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่ว่าจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรือการปรองดองด้วยวิธีใดก็ตามหากจะตัดพวกเราและผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ที่อยู่นอกคุกออกไปจากการแก้ปัญหานี้ด้วย ก็จะทำให้ปัญหาของประเทศไทยไม่มีทางที่จะยุติ เพราะคนไทยจำนวนมากรวมทั้ง คนทั่วโลกไม่น้อยรู้ว่าต้นตอของปัญหาเกิดจากอะไร อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ

ขอฝากเตือนไปยังรัฐบาล ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าเดินผิด คิดพลาด มองว่าพวกต้องคดี มาตรา 112 มีน้อยนิดปัดทิ้งไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปมากมายจะไม่ยอมนั่งดูดายให้พวกเรากลายเป็นเครื่องสังเวย

พวกเราขอเรียกร้องว่าการแก้ปัญหาความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดองแท้จริงให้เกิดขึ้น ทุกฝ่ายต้องยอมรับความจริงยอมรับความผิดพลาดที่ตนเองก่อ และยินดีแก้ไขอย่างมีสำนึก ปัญหาก็จะจบ อย่าปัดความรับผิดชอบ

อย่างพวกเราถึงแม้จะไม่ได้ทำผิดทางมโนธรรม แต่ทำผิดกฎหมาย มาตรา 112 ที่มีอยู่พวกเราก็ยอมรับว่าเราทำผิดกฎหมาย ก็รับสารภาพผิดอย่างลูกผู้ชายยอมรับโทษ แล้วขออภัยโทษตามกฎหมายก็จะจบลงด้วยดี

คงยังจำเหตุการณ์ในประเทศตูนิเซียได้ จากจุดเล็กๆ เพียงแค่พ่อค้าขายของข้างถนนคนหนึ่งถูกตำรวจรังแกขับไล่ไม่ให้ขายของ คับแค้นใจจนฆ่าตัวตาย กลายเป็นชนวนให้ประชาชน ชาวตูนิเซียที่กดดันด้วยระบอบเผด็จการมานานลุกขึ้นต่อสู้จนระบอบเผด็จการตูนิเซียล้มครืนและลุกลามไปทั่วอาหรั

ประเทศไทยที่ถูกกดดันทางสังคมและสิทธิเสรีภาพจนอัดแน่นอยู่เวลานี้ รอการระเบิดยิ่งกว่าตูนิเซีย เพราะเป็นการถูกกดขี่ด้วยระบอบมาตรา 112 บวกกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยก้าวมาถึงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงพอดี สองแรงบวกความรุนแรงจึงหนักหน่วงกว่าตูนิเซียแน่นอน

สถานการณ์ของประเทศไทยจะตรงกับคำพูดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่า “ฆ่ากันตายทั้งประเทศ”

จึงขอให้ส่วนบนสุดของทั้งสองฝ่าย ทั้งทุนเก่าอนุรักษ์นิยม และทุใหม่โลกาภิวัตน์ เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน หาทางยุติวิกฤติของประเทศด้วยเถิด

นักโทษคดี มาตรา 112

มีนาคม 2555


ที่มา fb อานนท์ นำภา
 

จดหมายจากภรรยา 'อากง' ถึง 'วรเจตน์'

หมายเหตุ: หลังเหตุการณ์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ถูกทำร้ายร่างกาย หลังจาก "นิติราษฎร์" เป็นหัวหอกนำเสนอแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 นางรสมาลิน ภรรยาของนายอำพล ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี ได้เขียนจดหมายให้กำลังใจอาจารย์วรเจตน์ 'ประชาไท' ได้รับอนุญาตจากเจ้าของจดหมายให้นำมาเผยแพร่



สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์วรเจตน์คะ

ดิฉัน เป็นภรรยาของอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล ที่โดนคดีมาตรา 112 ค่ะ ดิฉันรู้สึกเห็นใจและเจ็บปวดด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่าน และทำให้ดิฉันคิดถึงยุคเก่าขนาดหินทีเดียวค่ะ แต่ดิฉันก็ยังเชื่อมั่นและเข้าใจว่าท่านเป็นผู้ที่จะจรรโลงสังคมนี้ให้ ยั่งยืนในเหตุและผลของความเป็นจริง ที่จะส่งผลให้กับคนรากหญ้า ถึงพญาไม้ใหญ่ก็จะได้รับอานิสงส์ ไปด้วย พวกเราทุกคนจะพยายามชี้แจงในสิ่งที่ท่านได้ชี้แจงมาแล้วนั้นให้เข้าใจอย่าง ถ่องแท้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหาเหมือนกับท่านได้ทำคุณูปการให้กับ สังคมที่คดงอให้เป็นเส้นตรง และเสียสละตัวของท่านเพื่อประโยชน์ของทุกๆ คน เปรียบเสมือนว่าทุกๆ ท่านร่วมกันเพื่อความถูกต้องที่สุด และเป็นขุนเขาที่ยอมหลอมละลายโดยหินทุกก้อนและทรายทุกเม็ดเพื่อที่จะเติม เต็มให้กับหุบเหวให้เป็นพื้นดินเดียวกัน เสมอภาพ ภราดรภาพ และเป็นพื้นที่ที่เท่าเทียมกัน พร้อมกับสันติภาพในส่วนของดินที่มีฟ้าอยู่สูงสุดในชั้นฟ้าที่เมตตาต่อพื้น ดิน และดิฉันขอกราบถึงท่านอาจารย์และนักวิชาการทุกๆ ท่านที่มองไปข้างหน้าถึงอนุชนรุ่นหลัง ดิฉันชื่นชมจริงๆ ค่ะ และต้องขอโทษทั้งลายมือและการเขียนของดิฉันที่ควรหรือไม่ควรก็ต้องกราบขอ อภัยนะคะ เพราะดิฉันเป็นคนเรียนแค่ชั้นประถมเอง มีปัญญาแค่นี้เองค่ะท่าน

ขอแสดงความนับถืออย่างสูงสุดค่ะ

นางรสมาลิน ตั้งนพกุล

ที่มา prachatai

จดหมายจากคุก…. อ.สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ "อย่าเป็นแม่ทัพที่ทำลายนักรบของตนเองเพื่อเอาใจข้าศึก"

 อย่าเป็นแม่ทัพที่ทำลายนักรบของตนเองเพื่อเอาใจข้าศึก


         การเครื่อนไหวต่อสู้ของ นปช. ภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา มีเป้าหมายอยู่ที่รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะโดยมีจุดมุ่งหมายให้มีการยุบสภาฯ จนให้มีการเลือกตั้งใหม่และคาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะได้จัดตั้งรัฐบาล

         ดังนั้นการจัดประชุมใหญ่ในเดือนเมษายน 2552 ที่มีการล้อมทำเนียบก็เพื่อบรรลุจุดหมายนี้ อันถือได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ของ
พรรคเพื่อไทยและ นปช. ภายใต้การกำกับของ 3 เกลอ.

        แต่จบลงด้วยการถูกล้อมปราบ สูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ถูกจับกุมคุมขังก็มากมาย จนบัดนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุดแต่ พรรคเพื่อไทยและนปช. ก็ไม่เปลี่ยนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การต่อสู้

        จนถึงปี พ.ศ. 2553 ก็จัดการเคลื่อนไหวใหญ่เรียกยุทธการนี้ว่า “ลาวาแดง”  คือระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศเข้า กทม.ในเดือน
มีนาคม เพื่อกดดันให้ นายอภิสิทย์ เวชชาชีวะประกาศยุบสภาฯ

        แต่นายอภิสิทย์ เวชชาชีวะเป็นคนประเภท เด็กดื้อ อวดฉลาด รวมทั้ง คนที่เป็นเสนาธิการอยู่เบื้องหลังก็เช่นเดียวกันอ่านเกมส์พลาด จึงแทนที่จะหาทางออกตามวิถีทางการเมือง ที่จะเรียกคะแนนให้กับรัฐบาลตนเองอย่างท่วมท้น เป็นพระเอกในสายตาคนทั้งโลก แต่กลับตัดสินใจใช้แนวทาง 6 ตุลาคม 2519 หวังปราบปรามไล่ล่าเช็คบิลให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและขบวนการนักศึกษา ประชาชน ที่ถูกกระทำในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จึงนับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มอำมาตย์ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะสถานการณ์ของโลกมองสังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนมาก และดูการต่อสู้ของพวกเขาก็มิใช่ฝ่ายซ้ายดังแต่ก่อน

           ดังนั้นถึงจะถูกปราบปราม เข่นฆ่า ไล่ฆ่า จับกุมคุมขังจนตกอยู่ในสถานการณ์ชั่วขณะหนึ่ง แต่กลับพื้นตัวอย่างรวดเร็วจนรัฐบาลประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำมาตย์คาดไม่ถึง ดังนั้นการลากยาวไม่ยุบสภา ที่คิดว่าตนเองจะได้เปรียบ กลับกลายเป็นปล่อยให้คู่ต่อสู้พื้นจากอาการมึนงง คนเสื้อแดงกลับมาด้วยคุณภาพมากกว่าเดิม

          ถึงวันที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและกลุ่มอำมาตย์ คงนึกออกแล้วว่า ถ้าตัดสินใจยุบสภา และไม่ปราบปรามเข่นฆ่า วันนี้ก็ยังคงได้เป็นรัฐบาลอยู่ ด้วยภาพที่สวยงาม หรือหากแล้ว เหตุการ 19 พฤษภาคม 2553 รีบยุบสภาก็ไม่เกินเดือน สิงหาคม 2553 ที่พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงยังไม่ฟื้นเวลานั้นรัฐบาล ก็น่าเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำ นปช. หลายคนก็ยังคงอยู่ในคุกไม่ได้เป็น สส. ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ก็คงจะไม่ได้เป็น รมช. แต่ยังเป็น นช.อยู่

        โอกาศนี้ผ่านไปแล้วเอาคืนไม่ได้แล้วเวลานี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับพรรคเพื่อไทยและ นปช. นับว่าบรรลุจุดมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์ตามที่กำหนดแล้วแต่ถามว่า แล้วมีอำนาจที่แท้จริงหรือไม่ สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างถาวรหรือไม่ เอาแค่คนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกก็ไม่ สามารถช่วยเหลือออกไปได้ เมื่อเทียบกับคนเสื้อเหลือง ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเหลือ จนเวลานี้ยังไม่มีใครถูกขังอยู่ในคุกซักคนเดียว


 แล้ว เวลานี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกมาข่มขู่คน เสื้อแดงที่เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะให้มองว่าอย่างไร “ฉลาดหรือโง่กันแน่” หรือเข้าใจว่าการได้เป็นรัฐบาลเที่ยวนี้เป็นที่สุดแล้ว เป็นชัยชนะตลอดกาลแล้วสามารถตกลงปลงใจร่วมผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีมวลชนสนับสนุนอีกแล้ว หรือจะอธิบายว่านี่เป็นเพียงแผนลับลวงพรางให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจเท่านั้น

        ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเวลานี้คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคนเสื้อแดงระดับคุณภาพที่ตาสว่างแล้วมีความรู้สึกที่คลอนแคลนต่อ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไปมากจึงควรที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ระดับคุณภาพ ควรจะออกมากู้ ”ศรัทธา” กลับคืน อย่าปล่อยให้คนประเภทฉวยโอกาศเกาะกระแส พรรค เที่ยวสามหาวก้าวร้าวต่อมวลชนที่สนับสนุนพรรคชนิดไม่กลัวติดคุก กลัวความตายไม่ไช่มุดหัวทุกที ที่มีการยึดอำนาจ

         ต้องศึกษาบทเรียนในประวัติศาสตร์ถึงความฉลาดของรัฐไทยในการเอาชนะ คอมมิวนิสต์ ขณะที่รอบบ้านเป็นคอมมิวนิสต์หมดแล้ว ประเทศไทยกำลังจะเป็นโดมิโน่ตัวต่อไปแต่ด้วยความชาญฉลาดจึงเดินทางไปเปิด สัมพันธ์ภาพกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้สนับสนุนหลักของพรรคคอมมิวนิสย์แห่งประเทศไทย (พคท) เป็นแผนแยกสลายทำลายทีละส่วน

         จนในที่สุด พคท. ที่มีผู้นำเป็นคนแก่บ้องตื้น มองพรรคคอมมิวนิสย์จีน เป็นเทพแล้วยอมตามทุกอย่างกระทั้งเป็นศัตรูกับเวียดนามตามพรรคคอมมิวนิสย์ จีน สุดท้ายถูกทอดทิ้งเพราะจีนเห็นประโยชน์กับรัฐไทยมากกว่าอุดมการณ์ พคท. จึงล่มสลาย เวลานี้ก็ยังไม่หายบ้องตื้น แบ่งเป็นสองฝ่าย นั่งเคียงกันเรื่องวิเคราะห์สังคมไทยคงนั่งเถียงกันจนแก่ตายทั้งสองฝ่ายไม่ ได้ต่อสู้อะไร

      แผนนี้กำลังใช้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงปัจจุบันนั่นคือแผนแยก สลายทำลายทีละส่วน โดยแสร้งทำดีปรองดองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดดเดียวทำลายคนเสื้อแดงคุณภาพก่อน ค่อยสลาย “แดงแม่ยก”เปลียนเป็น”แดงจงรักภักดี”แบบขวัญชัยไพรพนา เมื่อหมดฐานมวลชนเสื้อแดงก็ถึงคิวเชือดพรรคเพื่อไทย จึงได้เห็นการอี๋อ๋อระหว่างอำมาตย์ใหญ่กับนายกฯปู ก็เพื่อบรรลุแผนนี้


       นายกปูเป็นเหมือนนกกระจิบหัดบินเมื่อเผชิญเหยี่ยวใหญ่ที่ช่ำชอง ย่อมไม่เท่าทันหลอก

ดัง นั้นการที่คนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกมาข่ม ขู่คุกคามและโดดเดี่ยวคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวให้ แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และผู้ต้องคดีตามมาตรานี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ แม่ทัพที่ทำลายนักรบของตัวเองเพื่อเอาใจข้าศึก วันใดที่หมดนักรบแม่ทัพก็จะถูกฆ่าอย่างเดียวดาย

                   หวังว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงฉลาดพอที่จะเท่าทันในแผนนี้
                                        
จดบันทึกปากคำจากคุก….. สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

ที่มา thai-ahr