หมายเหตุ - จดหมายจากผู้ต้องหาคดียิง M79 หลายจุดในจังหวัดเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ระหว่างและหลังสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยถูกจับกุมตัวในวันที่ 21 พ.ย.53 และนำมาแถลงข่าวในวันที่ 23 พ.ย.53 เขาถูกคุมขังตั้งแต่นั้น โดยตระเวนไปขึ้นศาลหลายจังหวัด จากการสอบถามผู้ต้องขังเขาระบุว่าในวันจับกุมเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบญาติ และทนาย หากจะติดต่อต้องรับสารภาพ จึงยอมรับสารภาพในชั้นสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล โดยในเว็บไซต์ศาลอาญาระบุความผิดในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนฯ
หน้าแรกจดหมายของวัลลภ
ตัว ผมเกิดและเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือ ในครอบครัวของผมเรามีกันทั้งหมด 5 คน คือ พ่อ แม่ และลูกๆ ทั้ง 3 ตัวผมเป็นลูกคนสุดท้ายของครอบครัวนี้ ชีวิตของทุกๆ คนในครอบตัวต้องต่อสู้และดิ้นรนหนีความยากจนของครับครัว ตัวผมเองก็ได้รับรู้ถึงความลำบากของทุกคนในครอบครัวมาโดยตลอด พวกเราทั้ง 5คนจึงได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งเราต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่หันมาสนใจและห่วงใยชาวนาและคนจนอย่างจริงๆ บ้าง จนผมได้ศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด เพื่อลดภาระของครอบครัว ผมจึงตัดสินใจเข้าสมัครเป็นทหารด้วยวัยเพียง 18 ปีเพื่อที่จะปกป้องประเทศและประชาชนจากอริราชศัตรู เพราะผมเชื่อว่าทหารไทยคือหทารของประชาชน และในช่วงที่ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อยู่นั้น ประเทศไทยได้มีการหาเสียงเพื่อเลือกตั้ง โดยผมได้ให้ความสนใจพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ชื่อพรรค “ไทยรักไทย” พรรคนี้ได้เสนอนโยบายพรรคหลายอย่าง ทั้งกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท, บัตรประกันสุขภาพ (บัตร30บาท), ปลดหนี้ IMF, สินค้า OTOP กับโครงการ 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง และอื่นๆ อีกหลายโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการพรรคนี้ไม่น่าจะทำได้ เพราะที่ผ่านมา ผมเคยเห็นและเคยได้ยินแต่รัฐบาลที่มีแต่ลมปาก พูดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ผมก็ได้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย
หลังการเลือกตั้งผ่านไป พรรคไทยรักไทยก็ชนะการเลือกตั้ง โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคไทยรักไทยได้พิสูจน์ให้ผมได้เห็นว่า เขาสามรถทำได้จริงตามนโยบายที่เขาเคยให้ไว้กับประชาชน นโยบายของเขาจับต้องได้และสัมผัสได้จริงๆ เขาได้พัฒนา ชาวไร่ ชาวนาและคนยากจนให้มีอาชีพ และโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ในสังคม ส่วนครอบครัว พี่ชายคนโตได้มีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนพี่ชายคนกลางของผมได้เรียนจบวิศวกรรมตามที่เขาหวังไว้ ซึ่งทำให้ผมเชื่อมันและศรัทธาในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น ผมจึงมั่นใจว่าพรรคไทยรักไทยสามารถนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากคำว่า ประเทศกำลังพัฒนา และพาไปให้เท่าเทียมประเทศอื่นซักที ผมจึงสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา
และเมื่อผมปลดประจำ การมา ผมก็ได้กลับมาทำงานที่บ้าน มาหาเงินและใช้ความสุขกับครอบครัว พรรคไทยรักไทยทำให้ครอบครัวผมที่เคยยากจนกลับมามีทุกอย่างเหมือนครอบครัว อื่น ทำให้ผมเชื่อว่า “นี่แหละคือการเลือกตั้งของประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ประชาขนได้เลือกนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่สนใจและดูแลจริงๆ” ผมจึงภาวนาให้พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลนานๆ และแล้วสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้น 19 กันยายน 2549 คณะ คมช.ได้ทำการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเมืองไทย หลังจากการรัฐประหารในเมืองไทยได้ห่างหายไปถึง 14 ปี (พ.ศ.2535-2549) ซึ่งเป็นการกระทำของทหารที่อ้างว่า “ทหารคือข้าของประชาชน” แต่สิ่งที่เขาทำ เขาได้ทำลายรัฐบาลที่ประชาชนรักที่สุด เขาได้ทำลายประเทศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายประชาธิปไตย ผมซึ่งเคยเป็นทหารจึงไม่พอใจกับการรัฐประหารครั้งนั้น ผมจึงเริ่มติดตามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ในปี 2551 เพื่อหาข้อมูลทุกอย่างจนทำให้ผมได้รู้ความจริง ว่ากลุ่มพันธมิตรหลอกประชาชน เพียงแค่หวังประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่พวกเขาจ้างมาว่าจะได้รับความเดือดร้อนขนาดไหนกับ การชุมนุมในครั้งนี้ ผมจึงมั่นใจในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น (ช่วงนั้นคือพรรคพลังประชาชน) ผมจึงตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มตัวในต้นปี 2552 ผมจึงได้ขยายกลุ่มและใช้ความรู้ของผมที่ผมรวบรวมมาสร้างกลุ่มขึ้น โดยการเปิดโทรทัศน์ช่องเสื้อแดงและเข้าร่วมชุมนุมตามจังหวัดต่างๆ และได้สมัครเป็นการ์ดของจังหวัด ติดตามการปราศรัยของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, คุณจตุพร พรหมพันธ์, พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล, อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และคุณกัญญาภัคร มณีจักร มาโดยตลอดจน
ถึงช่วงที่เกิดเหตุ การณ์เมษาเลือดในช่วงเดือนเมษายน 2552 ผมได้ติตามข่าวสารและเก็บภาพเพื่อมาวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ อาวุธของทหารที่ใช้ยิ่งประชาชน ผมจึงทราบว่า “ทหารยิงประชาชน” จริงๆ โดยการใช้กระสุนจริง ยิงประชาชนไม่ได้ใช้กระสุนปลอมเหมือนที่รัฐบาลประชาธิปัตย์หรือทหารอ้างต่อ สื่อ ผมและกลุ่มจึงไม่พอใจ จึงได้เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น โดยการเข้าร่วมชุมนุมในทุกๆ ที่เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของพี่น้องคนเสื้อแดง และในวันที่ 11 มีนาคม 2553 พี่น้องคนเสื้อแดงทั้งประเทศได้พิสูจน์ให้ผมเห็นถึงความรัก ความสามัคคี และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ทุกคนมาจากทุกพื้นที่ในประเทศไทยเพื่ออกมาต่อสู้กับรัฐบาลโจรและอำนาจเถื่อน ที่มาปล้นรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยของเราไป คนพวกนี้ต้องการเพียงอำนาจ เงิน และการเอื้อประโยชน์ให้พวกเดียวกัน ตัวผมไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผมทิ้งมา ทั้งงาน บ้าน และครอบครัวที่แสนอบอุ่น เมื่อผมได้เห็นพี่น้องคนเสื้อแดงออกมาสู้กันมากมายเช่นนี้ ถึงแม้การต่อสู้ของพวกเราและ นปช.จะจบลงแบบไม่สวย แต่เราก็ไม่แพ้และจะไม่มีวันแพ้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญจอมปลอมมาถึง 80 ปี (พ.ศ.2475-2555) แต่ผมก็เชื่อว่าทุกคนยังพร้อมจะสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยแบบเต็มใบ และเพื่อประเทศที่เป็นของประชาชนอีกครั้ง
หลังจากการสลาย การชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ผมต้องหาเงินมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ครอบครัวสูญเสียไป ผมจึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเงินไว้ต้อนรับการเกิดมาของลูกสาวคนที่ ผมต้องหาเงินมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ครอบครัวสูญเสียไป ผมจึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเงินไว้ต้อนรับการเกิดมาของลูกสาวคนที่ 3 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2553 โดยผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินไว้ให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง เพื่อที่ผมจะได้เข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องหมดอิสรภาพลงในวันที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับประเพณีลอยกระทง ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในขณะเติมน้ำมันเพื่อกลับบ้านในเขตท้องที่สาย ไหม กรุงเทพมหานคร ในข้อหาก่อการร้ายที่ DSI ตั้งให้และข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ผมถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่นั้นมา ผมอยากรู้ว่าทำไมหรือ คนที่เขาออกมาชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยเพื่อทวงอำนาจคืน สู่ประชาชน ทำไมต้องเอาอาวุธออกมาไล่ยิง ไล่ฆ่าพวกเขาด้วย นี่หรือทหารของประชาชน ทำไมต้องยัดข้อหาให้พวกเขาทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด และจะกลั่นแกล้งผมไปถึงไหน
ปัจจุบันผมต้องย้ายเรือนจำมา ทั้งหมด 8 เรือนจำแล้ว และกำลังจะย้ายไปเรือนจำที่ 9 ผมไม่ได้เจอครอบครัวมานานมากแล้ว จะมีก็แต่พี่น้องคนเสื้อแดงเท่านั้นที่คอยเยี่ยม คอยห่วง ภรรยาของผมที่ผมทั้งรักและห่วงก็มาจากผมไปเพียงแค่คำว่า “ไม่อยากเป็นเมียผู้ก่อการร้าย” คนเสื้อแดงและพวกผมผิดหรือเพียงแค่ต้องการประชาธิปไตย กลับต้องกลายเป็นกบฏ เป็นผู้ก่อการร้ายกันทุกคน ปัจจุบันลูกสาวคนโตผม 10 ขวบแล้ว คนกลาง 7 ขวบ คนสุดท้อง 2 ขวบแล้ว ผมเชื่อว่าทุกๆ คนคิดถึงผม ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดถึงเขา เมื่อไหร่ที่ลูกคนเล็กพูดได้ เขาคงจะถามคุณย่าของเขาว่า “พ่อหนูไปหน พ่อหนูคือผู้ก่อการร้ายจริงหรือ” แต่อย่างน้อย สวรรค์ก็มีตา เราได้พรรคเพื่อไทยของเรากลับมาอีกครั้ง เขาต้องกลับมาเพื่อสานต่อทุกคำสัญญาที่เขาให้กับประชาชนไว้ และเมื่อนั้นผมเชื่อว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสกว่าเสมอ”
มีคน ถามผมว่า ผมท้อไหม ถอดใจไหม ผมตอบได้เลยว่า “ไม่” ผมพร้อมที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมทุกคนเสมอ ถึงอนาคตข้างหน้า ผมจะต้องสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ก็ตาม ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง และก็เชื่อว่าทุกๆ คนก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเหมือนกัน แต่พวกเราทุกคนทำเพื่อลูกหลานของเรา เพื่อประเทศของเรา เพื่อทุกคนที่เรารัก ต่อให้การต่อสู้ครั้งหน้าผมต้องบาดเจ็บล้มตาย ผมก็ยอม ผมไม่อยากให้การหลอกลวงจอมปลอมทั้งหมดต้องตกไปเป็นภาระของรุ่นลูกรุ่นหลาน ของพวกเรา ผมขอให้สัญญา “ตราบใดถ้าคนเสื้อแดงทุกคนยังพร้อมที่จะต่อสู้ร่วมกันเช่นนี้ เราจะไม่มีคำว่าแพ้อย่างแน่นอน”
(ข้อความถึงลูก) นานแล้วนะที่เราจากกันมา พ่อไม่ได้ทิ้งทุกๆ คนไปไหน พ่อไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ พ่อไม่ได้ต้องการการยกย่อง พ่อไม่ได้ต้องการเหรียญกล้าหาญใดๆ แค่ซักวันหนึ่ง เมื่อพวกหนูโตขึ้น หนูจะเข้าใจว่าสิ่งที่พ่อทำมันยิ่งใหญ่แค่ไหน หนูจะรู้ว่าเพราะอะไรพวกพ่อต้องออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศนี้ พวกหนูทั้ง 3 คน อย่าได้น้อยใจหรือเสียใจที่ไม่ได้เติบโตมาใสอ้อมกอดพ่อ พ่อเชื่อว่าการจากกันครั้งนี้ใช่จากกันชั่วนิรันดร์ แต่เป็นเพียงแค่การจากเพียงชั่วครู่เท่านั้น พ่ออยากให้หนูรู้ว่าครั้งหนึ่งพ่อก็เคยรู้สึกเหมือนหนู พ่อทนกับการดูถูกเหยียดหยามมามาก เพื่อการนี้พ่อึงต้องดิ้นรนเพื่อหลีกหนีความจน พ่อต้องการคนที่เขาพัฒนาคนจน ทำเพื่อประชาชนได้จริงๆ ของเพียงลูกๆ ของพ่อเป็นคนดี ตั้งใจเรียน เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง หนูอย่าได้ดูถูกคนที่เขาด้อยกว่า ให้หนูมองทุกๆ คนว่าเท่าเทียมกับเรา หนูจะได้ไม่รู้สึกเด่นหรือด้อยกว่าคนอื่นเขา พ่อเชื่อว่าอีกไม่นาน พ่อคงได้กลับไปอยู่กับลูกๆ ขอให้หนูหลับฝันดี แล้วซักวันพ่อจะกลับคุ้มครองลูกๆ เอง
สุดท้ายนี้ ผมอยากขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงทุกคนที่คอยติดตามถามไถ่ ทุกข์- สุข อย่างไร คอยให้กำลังใจในช่วงที่ต้องขึ้นศาลฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นก็ลำบากแสนลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณพี่ๆ คดี 112 ทั้งพี่สมยศ, พี่สุรภักดิ์, อาจารย์สุรชัยที่คอยให้คำปรึกษาและดีกับผมเสมอมา ทำให้ผมอดทนมาได้ถึงวันนี้ ผมจะอดทนต่อไป เพื่อจะได้ไปต่อสู้ร่วมกับทุกๆ คนอีกครั้ง
ผมศรัทธาในการต่อสู้ของทุกๆ คน
วัลลภ พิธีพรม
16 มีนาคม 2555
ที่มา prachatai
หน้าแรกจดหมายของวัลลภ
ตัว ผมเกิดและเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือ ในครอบครัวของผมเรามีกันทั้งหมด 5 คน คือ พ่อ แม่ และลูกๆ ทั้ง 3 ตัวผมเป็นลูกคนสุดท้ายของครอบครัวนี้ ชีวิตของทุกๆ คนในครอบตัวต้องต่อสู้และดิ้นรนหนีความยากจนของครับครัว ตัวผมเองก็ได้รับรู้ถึงความลำบากของทุกคนในครอบครัวมาโดยตลอด พวกเราทั้ง 5คนจึงได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งเราต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่หันมาสนใจและห่วงใยชาวนาและคนจนอย่างจริงๆ บ้าง จนผมได้ศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด เพื่อลดภาระของครอบครัว ผมจึงตัดสินใจเข้าสมัครเป็นทหารด้วยวัยเพียง 18 ปีเพื่อที่จะปกป้องประเทศและประชาชนจากอริราชศัตรู เพราะผมเชื่อว่าทหารไทยคือหทารของประชาชน และในช่วงที่ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อยู่นั้น ประเทศไทยได้มีการหาเสียงเพื่อเลือกตั้ง โดยผมได้ให้ความสนใจพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ชื่อพรรค “ไทยรักไทย” พรรคนี้ได้เสนอนโยบายพรรคหลายอย่าง ทั้งกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท, บัตรประกันสุขภาพ (บัตร30บาท), ปลดหนี้ IMF, สินค้า OTOP กับโครงการ 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง และอื่นๆ อีกหลายโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการพรรคนี้ไม่น่าจะทำได้ เพราะที่ผ่านมา ผมเคยเห็นและเคยได้ยินแต่รัฐบาลที่มีแต่ลมปาก พูดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ผมก็ได้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย
หลังการเลือกตั้งผ่านไป พรรคไทยรักไทยก็ชนะการเลือกตั้ง โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคไทยรักไทยได้พิสูจน์ให้ผมได้เห็นว่า เขาสามรถทำได้จริงตามนโยบายที่เขาเคยให้ไว้กับประชาชน นโยบายของเขาจับต้องได้และสัมผัสได้จริงๆ เขาได้พัฒนา ชาวไร่ ชาวนาและคนยากจนให้มีอาชีพ และโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ในสังคม ส่วนครอบครัว พี่ชายคนโตได้มีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนพี่ชายคนกลางของผมได้เรียนจบวิศวกรรมตามที่เขาหวังไว้ ซึ่งทำให้ผมเชื่อมันและศรัทธาในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น ผมจึงมั่นใจว่าพรรคไทยรักไทยสามารถนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากคำว่า ประเทศกำลังพัฒนา และพาไปให้เท่าเทียมประเทศอื่นซักที ผมจึงสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา
และเมื่อผมปลดประจำ การมา ผมก็ได้กลับมาทำงานที่บ้าน มาหาเงินและใช้ความสุขกับครอบครัว พรรคไทยรักไทยทำให้ครอบครัวผมที่เคยยากจนกลับมามีทุกอย่างเหมือนครอบครัว อื่น ทำให้ผมเชื่อว่า “นี่แหละคือการเลือกตั้งของประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ประชาขนได้เลือกนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่สนใจและดูแลจริงๆ” ผมจึงภาวนาให้พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลนานๆ และแล้วสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้น 19 กันยายน 2549 คณะ คมช.ได้ทำการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเมืองไทย หลังจากการรัฐประหารในเมืองไทยได้ห่างหายไปถึง 14 ปี (พ.ศ.2535-2549) ซึ่งเป็นการกระทำของทหารที่อ้างว่า “ทหารคือข้าของประชาชน” แต่สิ่งที่เขาทำ เขาได้ทำลายรัฐบาลที่ประชาชนรักที่สุด เขาได้ทำลายประเทศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายประชาธิปไตย ผมซึ่งเคยเป็นทหารจึงไม่พอใจกับการรัฐประหารครั้งนั้น ผมจึงเริ่มติดตามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ในปี 2551 เพื่อหาข้อมูลทุกอย่างจนทำให้ผมได้รู้ความจริง ว่ากลุ่มพันธมิตรหลอกประชาชน เพียงแค่หวังประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่พวกเขาจ้างมาว่าจะได้รับความเดือดร้อนขนาดไหนกับ การชุมนุมในครั้งนี้ ผมจึงมั่นใจในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น (ช่วงนั้นคือพรรคพลังประชาชน) ผมจึงตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มตัวในต้นปี 2552 ผมจึงได้ขยายกลุ่มและใช้ความรู้ของผมที่ผมรวบรวมมาสร้างกลุ่มขึ้น โดยการเปิดโทรทัศน์ช่องเสื้อแดงและเข้าร่วมชุมนุมตามจังหวัดต่างๆ และได้สมัครเป็นการ์ดของจังหวัด ติดตามการปราศรัยของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, คุณจตุพร พรหมพันธ์, พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล, อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และคุณกัญญาภัคร มณีจักร มาโดยตลอดจน
ถึงช่วงที่เกิดเหตุ การณ์เมษาเลือดในช่วงเดือนเมษายน 2552 ผมได้ติตามข่าวสารและเก็บภาพเพื่อมาวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ อาวุธของทหารที่ใช้ยิ่งประชาชน ผมจึงทราบว่า “ทหารยิงประชาชน” จริงๆ โดยการใช้กระสุนจริง ยิงประชาชนไม่ได้ใช้กระสุนปลอมเหมือนที่รัฐบาลประชาธิปัตย์หรือทหารอ้างต่อ สื่อ ผมและกลุ่มจึงไม่พอใจ จึงได้เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น โดยการเข้าร่วมชุมนุมในทุกๆ ที่เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของพี่น้องคนเสื้อแดง และในวันที่ 11 มีนาคม 2553 พี่น้องคนเสื้อแดงทั้งประเทศได้พิสูจน์ให้ผมเห็นถึงความรัก ความสามัคคี และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ทุกคนมาจากทุกพื้นที่ในประเทศไทยเพื่ออกมาต่อสู้กับรัฐบาลโจรและอำนาจเถื่อน ที่มาปล้นรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยของเราไป คนพวกนี้ต้องการเพียงอำนาจ เงิน และการเอื้อประโยชน์ให้พวกเดียวกัน ตัวผมไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผมทิ้งมา ทั้งงาน บ้าน และครอบครัวที่แสนอบอุ่น เมื่อผมได้เห็นพี่น้องคนเสื้อแดงออกมาสู้กันมากมายเช่นนี้ ถึงแม้การต่อสู้ของพวกเราและ นปช.จะจบลงแบบไม่สวย แต่เราก็ไม่แพ้และจะไม่มีวันแพ้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญจอมปลอมมาถึง 80 ปี (พ.ศ.2475-2555) แต่ผมก็เชื่อว่าทุกคนยังพร้อมจะสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยแบบเต็มใบ และเพื่อประเทศที่เป็นของประชาชนอีกครั้ง
หลังจากการสลาย การชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ผมต้องหาเงินมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ครอบครัวสูญเสียไป ผมจึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเงินไว้ต้อนรับการเกิดมาของลูกสาวคนที่ ผมต้องหาเงินมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ครอบครัวสูญเสียไป ผมจึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเงินไว้ต้อนรับการเกิดมาของลูกสาวคนที่ 3 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2553 โดยผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินไว้ให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง เพื่อที่ผมจะได้เข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องหมดอิสรภาพลงในวันที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับประเพณีลอยกระทง ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในขณะเติมน้ำมันเพื่อกลับบ้านในเขตท้องที่สาย ไหม กรุงเทพมหานคร ในข้อหาก่อการร้ายที่ DSI ตั้งให้และข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ผมถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่นั้นมา ผมอยากรู้ว่าทำไมหรือ คนที่เขาออกมาชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยเพื่อทวงอำนาจคืน สู่ประชาชน ทำไมต้องเอาอาวุธออกมาไล่ยิง ไล่ฆ่าพวกเขาด้วย นี่หรือทหารของประชาชน ทำไมต้องยัดข้อหาให้พวกเขาทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด และจะกลั่นแกล้งผมไปถึงไหน
ปัจจุบันผมต้องย้ายเรือนจำมา ทั้งหมด 8 เรือนจำแล้ว และกำลังจะย้ายไปเรือนจำที่ 9 ผมไม่ได้เจอครอบครัวมานานมากแล้ว จะมีก็แต่พี่น้องคนเสื้อแดงเท่านั้นที่คอยเยี่ยม คอยห่วง ภรรยาของผมที่ผมทั้งรักและห่วงก็มาจากผมไปเพียงแค่คำว่า “ไม่อยากเป็นเมียผู้ก่อการร้าย” คนเสื้อแดงและพวกผมผิดหรือเพียงแค่ต้องการประชาธิปไตย กลับต้องกลายเป็นกบฏ เป็นผู้ก่อการร้ายกันทุกคน ปัจจุบันลูกสาวคนโตผม 10 ขวบแล้ว คนกลาง 7 ขวบ คนสุดท้อง 2 ขวบแล้ว ผมเชื่อว่าทุกๆ คนคิดถึงผม ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดถึงเขา เมื่อไหร่ที่ลูกคนเล็กพูดได้ เขาคงจะถามคุณย่าของเขาว่า “พ่อหนูไปหน พ่อหนูคือผู้ก่อการร้ายจริงหรือ” แต่อย่างน้อย สวรรค์ก็มีตา เราได้พรรคเพื่อไทยของเรากลับมาอีกครั้ง เขาต้องกลับมาเพื่อสานต่อทุกคำสัญญาที่เขาให้กับประชาชนไว้ และเมื่อนั้นผมเชื่อว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสกว่าเสมอ”
มีคน ถามผมว่า ผมท้อไหม ถอดใจไหม ผมตอบได้เลยว่า “ไม่” ผมพร้อมที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมทุกคนเสมอ ถึงอนาคตข้างหน้า ผมจะต้องสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ก็ตาม ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง และก็เชื่อว่าทุกๆ คนก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเหมือนกัน แต่พวกเราทุกคนทำเพื่อลูกหลานของเรา เพื่อประเทศของเรา เพื่อทุกคนที่เรารัก ต่อให้การต่อสู้ครั้งหน้าผมต้องบาดเจ็บล้มตาย ผมก็ยอม ผมไม่อยากให้การหลอกลวงจอมปลอมทั้งหมดต้องตกไปเป็นภาระของรุ่นลูกรุ่นหลาน ของพวกเรา ผมขอให้สัญญา “ตราบใดถ้าคนเสื้อแดงทุกคนยังพร้อมที่จะต่อสู้ร่วมกันเช่นนี้ เราจะไม่มีคำว่าแพ้อย่างแน่นอน”
(ข้อความถึงลูก) นานแล้วนะที่เราจากกันมา พ่อไม่ได้ทิ้งทุกๆ คนไปไหน พ่อไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ พ่อไม่ได้ต้องการการยกย่อง พ่อไม่ได้ต้องการเหรียญกล้าหาญใดๆ แค่ซักวันหนึ่ง เมื่อพวกหนูโตขึ้น หนูจะเข้าใจว่าสิ่งที่พ่อทำมันยิ่งใหญ่แค่ไหน หนูจะรู้ว่าเพราะอะไรพวกพ่อต้องออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศนี้ พวกหนูทั้ง 3 คน อย่าได้น้อยใจหรือเสียใจที่ไม่ได้เติบโตมาใสอ้อมกอดพ่อ พ่อเชื่อว่าการจากกันครั้งนี้ใช่จากกันชั่วนิรันดร์ แต่เป็นเพียงแค่การจากเพียงชั่วครู่เท่านั้น พ่ออยากให้หนูรู้ว่าครั้งหนึ่งพ่อก็เคยรู้สึกเหมือนหนู พ่อทนกับการดูถูกเหยียดหยามมามาก เพื่อการนี้พ่อึงต้องดิ้นรนเพื่อหลีกหนีความจน พ่อต้องการคนที่เขาพัฒนาคนจน ทำเพื่อประชาชนได้จริงๆ ของเพียงลูกๆ ของพ่อเป็นคนดี ตั้งใจเรียน เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง หนูอย่าได้ดูถูกคนที่เขาด้อยกว่า ให้หนูมองทุกๆ คนว่าเท่าเทียมกับเรา หนูจะได้ไม่รู้สึกเด่นหรือด้อยกว่าคนอื่นเขา พ่อเชื่อว่าอีกไม่นาน พ่อคงได้กลับไปอยู่กับลูกๆ ขอให้หนูหลับฝันดี แล้วซักวันพ่อจะกลับคุ้มครองลูกๆ เอง
สุดท้ายนี้ ผมอยากขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงทุกคนที่คอยติดตามถามไถ่ ทุกข์- สุข อย่างไร คอยให้กำลังใจในช่วงที่ต้องขึ้นศาลฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นก็ลำบากแสนลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณพี่ๆ คดี 112 ทั้งพี่สมยศ, พี่สุรภักดิ์, อาจารย์สุรชัยที่คอยให้คำปรึกษาและดีกับผมเสมอมา ทำให้ผมอดทนมาได้ถึงวันนี้ ผมจะอดทนต่อไป เพื่อจะได้ไปต่อสู้ร่วมกับทุกๆ คนอีกครั้ง
ผมศรัทธาในการต่อสู้ของทุกๆ คน
วัลลภ พิธีพรม
16 มีนาคม 2555
ที่มา prachatai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น